วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 6/30 (2)


พระอาจารย์
6/30 (550110C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
10  มกราคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/30  ช่วง 1

พระอาจารย์  แต่ที่มันเคลื่อนออกไปเพราะความเห็นผิด เพราะความเชื่อที่ถูกเติมเข้ามาภายหลัง ...แต่เมื่อสงบระงับตั้งมั่น แล้วก็หยั่งลงไปเฉยๆ ธรรมดา

นี่ ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย หยั่งลงไป ธรรมดามากๆ ...นั่น ความแจ้งชัดตามธรรมนั้นๆ ก็เกิด ความเข้าใจในธรรม ความรู้เห็นธรรมตามจริงก็เกิด

เพราะนั้น ปัญญาแปลว่ารู้เห็นธรรมตามจริง ...ปัญญาแปลว่าอย่างนี้นะ ไม่ใช่รู้อะไรมากมายก่ายกองหรอก นี่ ปัญญาแปลว่ารู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง

อย่างที่เราบอกน่ะ ถ้าใส่เสื้อปิดบังอยู่มันก็จะไม่เห็นเนื้อตามความเป็นจริง คนอื่นก็ไม่เห็นเนื้อธรรมตามความเป็นจริง ใช่มั้ย ...เพราะมันมีอะไรบังอยู่

ถ้าเห็นตามความเป็นจริงคือต้องเอาพวกนี้ออกหมดน่ะ ก็จะเห็นธรรมนั้นตามจริง...ล้วนๆ เป็นธรรมล้วนๆ นะ ...ไม่มีอะไรปกปิด แปดเปื้อน แม้แต่มลทินเดียว

นี่ บอกให้  ถึงที่สุดแล้วนี่...แม้แต่ขณะหนึ่งหรือว่าอณูหนึ่ง หรือว่ามลทินหนึ่งนี่ ที่มาทาบทาแล้วทำให้เคลื่อนจากความเห็นตรง เห็นชัด เห็นแจ้งนี่ ...หลุดออกหมด

นั่น มันจะไม่เห็นจริงเห็นแจ้ง เห็นขันธ์วิสุทธิได้อย่างไร เห็นขันธ์เป็นขันธ์ของแท้เลยแหละ ...ไม่ได้เห็นว่ากระดูกกระเดี้ยวอะไร ไม่ได้เห็นเป็นซากศพ ไม่ได้เห็นเป็นดินน้ำไฟลมอะไร

แต่เห็นขันธ์แท้ๆ นี่ ที่มันปรากฏอยู่..เดี๋ยวนี้ด้วย จริงแท้แน่นอนเลย ปรากฏจริงแท้แน่นอนเลย แล้วก็ดับไปจริงแท้แน่นอนเลย...เดี๋ยวนี้ด้วย

ความหมายมั่น ความยึดถือ ความครอบครอง ความเข้าเป็นเจ้าของ มันจางคลายจนหมดไปเองแหละ...ถ้ามันเห็นอย่างนี้ เห็นธรรมตามจริงนะ

ไม่ต้องไปทำให้เขาวาง ไม่ต้องไปบอกให้เขาวาง ไม่ต้องไปบอกให้เขาปล่อยน่ะ ไม่ต้องไปบอกว่า “ไม่ต้องครอบครองหรือห้ามครอบครอง” เลย

ไม่ต้องไปทำอะไรกับใจเลย ขอให้ใจมันหยั่งเข้าไปเห็นเถอะ ตามจริง อย่าไปทำให้มันเป็นยังไงขึ้นมาล่ะ...ไม่เอา หยั่งลงไปตามจริง เห็นยังไงว่าอย่างงั้น

แล้วคัดลอกออกไป คัดกรองออกไป กลั่นกรองออกไป ...ศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวกลั่นกรองธรรมให้มันชัดเจนขึ้น เคยว่าใช่แล้ว เคยว่าอือ ไม่ได้ปรุงไม่ได้แต่งอะไรกับมันแล้วนะ คิดว่าใช่แล้ว 

ดูไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันเห็นอีก หยั่งลงไปอีก...เออะ ไม่ใช่อย่างที่มันเห็นตอนนั้นแล้ว ว่าตรงแล้ว ว่าสัมมาแล้ว  มันก็มีสัมมาในสัมมานั้นลงไปเรื่อยๆ

อย่าไปค้น อย่าไปคิดอะไร หยั่งลงไป จนสุดจะหยั่ง...ถึงที่สุดของการหยั่งในกายนั้น ถึงที่สุดของการหยั่งในนามนั้นๆ ถึงที่สุดในการหยั่งของรูปรสกลิ่นเสียง

ญาณมันหยั่งลงไปในทุกสรรพสิ่งที่มันกระทบสัมผัสสัมพันธ์ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน...เรียกว่าทัสสนะ จนญาณหยั่งนั้นเข้าใจด้วยตัวของมันเองเป็นปัจจัตตัง ท่านเรียกว่าวิมุติทัสสนะ

จนมันสิ้นซาก จนมันดับสิ้นซึ่งความสงสัย จนมันดับสิ้นซึ่งความปรุงแต่ง นั่นก็เรียกว่าเป็นสมุจเฉทสมุจเฉทเมื่อไหร่ จิตตาย...จิตน่ะตายก่อนขันธ์ตายน่ะ จิตปรุงแต่งนี่แหละตายก่อน

การตายครั้งสุดท้ายของจิต ท่านเรียกว่า อาสวักขยญาณ ...พออาสวักขยญาณเกิดปุ๊บ จิตตายเลย จิตอะไรที่ตาย ...จิตที่จะพาไปเกิดในที่ทั้งปวง...จิตนั้นน่ะตาย

ทั้งๆ ที่ว่ายืนเดินนั่งนอน...ยังมีอยู่ ชีวิตยังไม่ทันดับนะ ขันธ์ยังไม่แตกดับ แต่จิตชิงตายไปซะก่อน หมดสิ้นซึ่งอำนาจที่จะมาครอบงำใจ ...แล้วค่อยมาตายจริงอีกทีนึง คือขันธ์ตาย

แต่ส่วนมากพวกเรา ขันธ์ตายก่อนจิต มันเลยต้องแอบมาเกิดอยู่ตลอด หรือไม่แอบน่ะ บางทีก็จงใจมาเกิดด้วย นั่น ...เอาจนจิตมันตายก่อนขันธ์ เรียกว่านิพพานก่อนนิพพานจริง

นิพพานนี่มีสองครั้งนะ ครั้งแรกนิพพานเป็น ครั้งสองนิพพานตาย...ตายไปพร้อมกันระหว่างขันธ์กับใจ 

ตอนแรกจิตตายก่อน นิพพานก่อน เซิร์ฟๆ ไปก่อน อยู่ไปก่อน อยู่อย่างงั้นไป ใช้หนี้ใช้เวรใช้กรรมเขาไปซะ จะได้ไม่ติดค้างกัน

เพราะนั้น ฟังธรรมให้เข้าใจ แล้วนำไปปฏิบัติให้ตรง ...เมื่อปฏิบัติตรงแล้ว ความรู้นั้นจะตรง ความเห็นนั้นจะตรง เรียกว่าสัมมา

เมื่อความรู้ความเห็นนั้นตรงแล้วเป็นสัมมาแล้ว ผลที่ได้ไม่เป็นอื่นนอกจากนิพพาน คือความดับไปสิ้นไปโดยสิ้นเชิง ...เรียกว่าอยู่ในทางมรรค อยู่ในองค์แห่งมรรค

เพราะนั้นไม่ต้องไปไล่มรรคแปดมรรคสิบอะไรแหละ ...ถามตัวเองว่ารู้มั้ย เดี๋ยวนี้รู้มั้ย มีรู้อยู่มั้ย มีเห็นอยู่มั้ย ทวนลงที่ใจผู้รู้ผู้เห็นนั้นบ่อยๆ

ด้วยสติตั้งมั่นอยู่ที่รู้นั้นเห็นนั้นบ่อยๆ เรียกว่าสมาธิที่เป็นสัมมา ...แล้วสังเกตในการไปการมาของสิ่งที่เกิดขึ้นในเดี๋ยวนั้นขณะนั้น ไม่ต้องทำอะไรนอกจากนี้หรอก เรียกว่าอยู่ในองค์มรรค

เผลอ..รู้อีก ลืม..รู้อีก หายไป..รู้อีก เอาใหม่ ...ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปตำหนิมัน ไม่ต้องไปเคลือบแคลงใจว่าบารมีน้อยรึเปล่า ทำไม่ได้รึเปล่า ไม่ถึงรึเปล่า

ทิ้งซะ ไม่เอา ...รู้ใหม่ เผลอไปอีก..รู้ใหม่ ...มันตำหนิตัวเอง ท้อถอย...รู้อีก รู้ว่าท้อ รู้ว่าขี้เกียจ รู้อีก เอามันอย่างนี้แหละภาวนา ถึงเรียกว่าเป็นนักภาวนา

ไม่ใช่ภาวนาแบบตามเทรนด์ วันไหนอารมณ์ดี ภาวนาซะ หูย ข้ามวันข้ามคืน  พอบทจะขี้เกียจล่ะ กูไม่เอาแล้ว ไม่ทำอะไรสักอย่าง ...นี่ไม่ใช่นักภาวนา

ภาวนาต้องไม่ขาดระยะสืบเนื่องกันไป ยืนเดินนั่งนอน ทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจเข้าออก 

ไม่อ้างกาลอ้างเวลา ไม่อ้างโลก ไม่อ้างสัตว์อ้างบุคคล ไม่อ้างสถานะมันเป็นอย่างนี้ เลือกไม่ได้แล้ว แก้ไม่ได้แล้ว หนีไม่ได้แล้ว ...รู้อย่างเดียว

พอมันเริ่มเคลื่อน ย้าย ไหลเลื่อนออกไปในความคิดในความปรุง...ให้รู้ให้ทัน แล้วกลับมาตั้งไว้ รู้อยู่ เดี๋ยวนี้ กายทำอะไร รู้สึกลงไป มือไม้ ล้างมือ ล้างจาน ทำกับข้าว ทำอาหาร เดินไปเดินมา 

นี่ กระทบสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง รู้มั้ย รู้ลงไป ให้มันตรงกับปัจจุบัน แค่นั้นแหละ ถือว่าภาวนาแล้ว ...ไม่ต้องไปถามหาผล ...ถามว่ามีสติมั้ย ถามว่ามีสมาธิมั้ย ถามว่าสังเกตตัวเองเดี๋ยวนี้ขณะนี้มั้ย 

ให้ถามตรงนี้บ่อยๆ ไม่ต้องถามหาผล ...ที่ถามหาผลน่ะ มันเคลื่อนไปแล้ว มันเคลื่อนจากรู้นี้เดี๋ยวนี้แล้ว มันเคลื่อนไปในอดีตไปในอนาคตแล้ว...ไม่เอา อย่ามัวเพ้อเจ้อ ใคร่ครวญหาผล

ทำแล้วจะได้ยังไง แล้วเมื่อไหร่จะได้  จะได้เร็วมั้ย จะได้ถูกมั้ย จะถึงที่สุดมั้ย จะไม่เกิดอีกมั้ย ...อย่าถามหาผล  ให้ถามเลยว่า เดี๋ยวนี้รู้มั้ย กำลังทำอะไร

นั่น กลับมาอยู่ในองค์มรรคอีกแล้ว ...อยู่ในมรรคบ่อยๆ เจริญมรรคมากๆ  เอาให้แข็ง เอาให้แน่น จะเก็บเกี่ยวผลไม่ทันเลยน่ะ เวลามันเก็บเกี่ยวผลนี่ เฮ่อ ไม่ได้หลับได้นอนนี่

สำคัญน่ะมรรคมันกระพร่องกระแพร่ง รู้ก็ขาดๆ ขาดๆ เกินๆ ไม่ต่อเนื่อง  วันหนึ่งๆ รู้สักร้อยครั้งแต่ หลง..ล้านครั้งมั้ง ...นั่น มันไม่สัมผัสสัมพันธ์กับมรรคกับผลเลย

แล้วก็มานั่งเพ้อ ก่อนนอนก็เพ้อเจ้อ...เมื่อไหร่จะถึงน้อ จะไปที่ไหน หาอาจารย์องค์ไหนดีว้า อย่างนี้...สิบอาจารย์ ต่อให้พระพุทธเจ้ามานั่งเทศน์ด้วยเอ้า ยังไม่ถึงเลย ไม่มีทาง

นี่ อยู่ที่มรรค ต้องเจริญมรรคให้แน่น ให้ต่อเนื่อง ...จนมันลืมไปเลยว่า จะได้ผลหรือไม่ได้ผลอะไร  มันไม่สนใจผลเลยนะ ก้มหน้าก้มตาทำงานงุดๆๆๆ

ก้มหน้าก้มตาดูดิน ไม่เคยแหงนดูเดือนดูดาวกับเขา งุดหน้าขุดดินปลูกพืชทำสวนไปในกายใจอันนี้ ...ท่านถึงเปรียบว่ากายใจอันนี้เป็นเนื้อนาบุญ เป็นก้อนธาตุก้อนธรรม

เนี่ย ก็ทำงานอยู่งุดๆๆ อยู่นี่ ไม่ต้องไปเงยหน้าหาสวรรค์วิมานอะไร ...ใครจะเป็นดวงเป็นดาว ใครจะเป็นพระอาทิตย์พระจันทร์ ไม่ต้องไปดู ไปเสียดมเสียดาย ไปอิจฉาตาร้อนอะไรกับเขา

ไม่ต้องไปตำหนิโทษบุญบารมีของเจ้าของ ไม่ต้องไปเชิดชูบุญบารมีครูบาอาจารย์หรือเพื่อนนักปฏิบัติ ...ก้มหน้าก้มตาปลูกผักทำสวนปลูกพริกปลูกข้าวไป ...นี่ นาๆ เนื้อนามี

ปลูกด้วยอุปกรณ์จอบเสียมเครื่องมือ...คือสติสมาธิปัญญา  ขุดค้นลงไปในกายใจปัจจุบันนี่ อู้ย เก็บเกี่ยวผลไม่ทันเลย จนคนอื่นเขาต้องมาแย่งกันกิน มาขอกันสลอนไปหมด

แต่มันทำไม่จริง...ถ้าทำไม่จริงก็ไม่เห็นของจริง ถ้าทำไม่จริงก็ไม่ถึงของจริง ...เพราะธรรมเป็นของจริง แต่คนทำไม่จริง ทำเล่น เข้าใจคำว่าทำเล่นมั้ย ปฏิบัติเล่นๆ

ปฏิบัติพอให้สมว่าเป็นนักปฏิบัติ อย่างนั้นเขาเรียกว่าปฏิบัติเล่น ปฏิบัติไม่จริง ...ปฏิบัติไม่จริงก็ได้ของไม่จริง ถ้าปฏิบัติจริงก็ได้ของจริง เห็นของจริง ถึงของจริง

มันย่อหย่อน ...ไม่ได้ย่อหย่อนในศีลวินัย แต่ย่อหย่อนในจิต ไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้ไม่เห็นโดยต่อเนื่อง ย่อหย่อน ปล่อยปละละเลย ประมาทเลินเล่อ เผอเรอ ไหลไปไหลมา เพ้อเจ้อ

เคยรู้จักมั้ยว่าจิตมันเพ้อเจ้อ เลื่อน เคลื่อน ออกจากกายใจปัจจุบันสมอ ไม่รู้มันเป็นยังไง ...แล้วไม่เอากลับ ไม่กลับ ไม่ระลึกรู้อยู่ ไม่รู้อยู่ ไม่กลับมารู้อยู่ ไม่มารู้สึกตัว

เพราะนั้น ไม่ว่าเส้นทางไหน สายทางไหนน่ะ การภาวนาแบบไหนก็ตาม ถ้าไม่มีสติ ยังไงๆ เราก็ยังยืนยันว่ายังไม่ตรง ...เพราะสติเป็นเหมือนหางเสือเรือ

ถ้าภาวนาโดยอาศัยแค่ศีลสมาธิปัญญา หรือพิจารณาไป หรือทำความเพียรเรื่อยๆ เรื่อยๆ อะไรก็ไม่รู้ โดยที่ไม่มีสติเลย เหมือนเรือที่วิ่งโดยไม่มีหางเสือ ...นี่สำคัญ

แต่ถ้ามีสติมากแล้ว รู้ตัว รู้ชัดเห็นชัดในกายใจปัจจุบันอยู่เสมอ นั่น หางเสือเรือนี่จะตรงไปสู่ทาง ร่องน้ำ ที่เรียกว่าครรลองแห่งมรรค หรือว่าเพื่อเข้าสู่กระแสมรรค

ไม่ตกร่อง ตกรู ตกทาง เบี่ยงออกจากทาง หรือเบี่ยงออกจากร่องของมรรค มันต้องมีหางเสือ ...นี่ แน่วแน่ลงในทางนั้นก็เรียกว่าสมาธิ...ตั้งมั่นอยู่กับธรรมที่เป็นหนึ่ง


(ต่อแทร็ก 6/30  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น