พระอาจารย์
6/18 (550102B)
(ชุดแทร็กต่อเนื่อง)
2 มกราคม 2555
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 6/18 ช่วง 1
รู้ว่าไม่มีอะไร
มันก็เป็นตัวรู้อันนึงเกิดขึ้นมารู้ว่าไม่มีอะไร พอมีอะไรเกิดขึ้น ก็มีรู้ใหม่มารู้ นี่ ไอ้ตัวที่รู้ว่าไม่มีอะไรเมื่อกี้น่ะมันดับไปพร้อมกับไม่มีอะไรแล้ว
แล้วก็เกิดมีอะไรขึ้นมา แล้วก็รู้เกิดขึ้นมาใหม่ มีไอ้ตัวที่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น นี่ มันจะเห็นการดับไปของสองสิ่ง ...แต่ตอนนี้เราจะเห็นว่าผู้รู้มันดับหรือว่ามันหาย
โยม – มันยังไม่ดับใช่มั้ยอาจารย์
พระอาจารย์ – เออ
แล้วมันไปพยายามรักษาตัวที่รู้ให้มันมั่นคงอยู่ เข้าใจมั้ย ให้มันเที่ยง
ตรงนั้นน่ะเขาเรียกว่าไปทำผู้รู้ให้เที่ยง ...ซึ่งจริงๆ มันก็ต้องใช้อย่างนั้นก่อน
เข้าใจมั้ย
ต้องรักษา ...เพราะว่าปัญญายังไม่เฉียบคมพอถึงขั้นที่ว่าเห็นความดับไปของของคู่กัน ...ยังไงก็ต้องเอาไว้ก่อน เอาผู้รู้
ยึดผู้รู้ไว้ ยึดผู้รู้ไว้ก่อน
เพราะอะไร ...เพราะบางอารมณ์นี่ เช่น โกรธ
หรือว่ารำคาญ หรือว่าเศร้าหมอง แล้วมันรู้อยู่ ... เพราะมันเศร้าหมองต่อเนื่อง
รู้มันจึงต้องมีต่อเนื่อง เข้าใจมั้ย
เพราะมันยังไม่ดับน่ะ มันก็รู้
มันก็ต้องรู้อยู่อย่างนั้นน่ะ เข้าใจมั้ย แล้วก็พอมาดูกายปุ๊บนี่ กายก็ต่อเนื่อง
รู้ก็ต้องต่อเนื่องกับกาย เข้าใจมั้ย ...ต้องรู้อย่างนั้นก่อน ต้องอาศัยรู้ต่อเนื่องไปก่อน
แล้วมันจะค่อยชำนาญขึ้นๆ แล้วมันเห็นรายละเอียดว่าจริงๆ น่ะ แค่ขณะแว่บนึงที่มันมีการเปลี่ยนไป...รู้นี่ไม่ใช่ตัวเดิมแล้ว...ตัวผู้รู้น่ะ ไม่ใช่ตัวเดิมแล้ว
คือตัวผู้รู้ไม่ใช่ใจนะ ไม่ใช่อมตะธาตุนะ ...ยังไม่ใช่นะ เข้าใจมั้ย แต่ว่ามันมีลักษณะคล้ายใจ แค่นั้นเอง
เพราะว่าตัวตนน่ะ ตัวตน...ตัวตนของใจน่ะอยู่ที่ผู้รู้นี่แหละ ...ผู้รู้นี่แหละคือตัวตนของใจ ที่ว่าใจเราๆ
นั่นแหละ ...อย่างนี่ เคยอ่านหนังสือลุงหวีดรึเปล่า
โยม – อ่านค่ะ
พระอาจารย์ – เออ
ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำลายตัวผู้รู้นั่นแหละ
โยม – ปล่อยผู้รู้ วางผู้รู้
พระอาจารย์ – ไม่ต้องวางหรอก ...มันก็ค่อยๆ
แยบคายไป ชัดเจนขึ้นในตัวของมันเอง คือต่อไปมันก็จะเข้าใจความหมายว่า
เกิดดับพร้อมกัน สิ่งที่รู้ก็ดับ ตัวที่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดก็ดับพร้อมกัน
ดับทั้งคู่น่ะ แล้วก็ว่าง
อาศัยผู้รู้ที่ต่อเนื่องไปก่อนน่ะ
รักษา ...เพราะว่าถ้าไปเห็น ไปจดจ่อจะไปดูผู้รู้ดับ เดี๋ยวมันก็ดับไม่เกิดซะเลย ...รักษาใจไว้ รักษาใจผู้รู้ไว้ก่อน แล้วปัญญามันก็จะค่อยจำแนกแยกชัดขึ้นไป
ต่อไปมันจะรู้เองว่า
เมื่อใดที่มีผู้รู้อยู่นี่ เมื่อนั้นน่ะทุกข์ ตัวผู้รู้เองนั่นแหละเป็นตัวทุกข์เลย
ก็ถ้าไม่รู้เลยมันจะทุกข์มั้ย ...นั่นแหละต้นเหตุใหญ่เลย ใจผู้รู้นั่นแหละ
ก็ถ้าไม่มีคนรู้เลย มันจะไปรู้อะไร
มันจะมีทุกข์เกิดได้ยังไง เพราะนั้นน่ะ มหาเหตุจริงๆ คือใจผู้รู้นั่นแหละ
แต่ว่าตอนนี้น่ะ
เรายังทุกข์กับเรื่องราวภายนอกอยู่ ต้องเรียนรู้แล้วก็ละไปตามลำดับ ...ยังละในส่วนที่มันยังติดขันธ์ มันยังทุกข์กับขันธ์อยู่ ยังเห็นขันธ์ว่าเป็นทุกข์อยู่
ก็ต้องละความทุกข์ในขันธ์นั้นก่อน
แล้วค่อยสุดท้ายค่อยมาละทุกข์ที่ใจ
คือใจน่ะคือต้นเหตุของทั้งหลายทั้งปวง ...ใจในที่นี้ไม่ใช่ใจเดิมใจแท้ใจบริสุทธิ์นะ ใจในที่นี้คือใจผู้รู้ ความเป็นผู้รู้
ชื่อก็บอกแล้วผู้รู้
คือมันมีความเป็นบุคคล คือผู้น่ะ...ผู้ คือเป็นตัวตนหนึ่ง ต้องมีบุคคลหนึ่งเป็นผู้ที่รู้อยู่
แม้จะหน้าไม่เหมือนเราก็ตาม ใช่มั้ย
นั่น มันไม่มีหน้าเหมือนเราแล้วนะ มันไม่มีหน้ามีตา ...แต่มันเป็นผู้รู้ เป็นผู้หนึ่งน่ะ ไม่รู้ใคร
เพราะนั้นไอ้ตัวผู้รู้นี่
หน้ามันจะเหมือนกันหมดทุกคนเลย เป็นตัวเดียวกัน เป็นผู้เดียวกัน
เป็นผู้รู้เดียวกันก่อน ...แต่มันยังเป็นบุคคลอยู่ ยังมีความเป็นบุคคลอยู่
นั่นน่ะคือเหตุ
เพราะนั้นจะไปละเอาดื้อๆ ง่ายๆ
ไม่ได้นะ ...อาศัยผู้รู้นี่ไปละตัวนอกก่อน เห็นก่อน เห็นขันธ์ตามจริงก่อน
เห็นโลกตามจริงก่อน แล้วก็ละๆๆๆ
จนที่สุดก็ละตัวมันเองนั่นแหละ
คนไม่เอากิเลสก็อยู่ที่นั่นน่ะ อาสวะทั้งหมดมันก็รวมอยู่ที่นั่น
โยม – ถ้าละผู้รู้ก็ปลอดภัยแล้วสิ
พระอาจารย์ – อู้ย
ละผู้รู้ก็เป็นพระอรหันต์แล้ว (โยมหัวเราะกัน)
อย่างที่ภาวนานี่ ต่อไปผู้รู้นี่ มันจะเหลือเป็นแค่ต่อม
เป็นจุดเล็กๆ จุดนึง นิดนึง ปึ้บ มันรู้สึก...ฮื้อ หงุดหงิดกับมัน
จะว่าไม่มีอะไรก็มีต่อมนี่ มันมีการรู้ มันก็รู้อยู่ข้างในนั่น
ไม่เป็นทุกข์อันอื่นแล้วนะ
...แต่มันรู้สึกตะขิดตะขวงว่ามันมีอะไรเป็นรู้อยู่วะ นั่นแหละ
มันก็ไม่ได้ทุกข์แบบโดนตีโดนอะไร แต่มันดูเหมือนกับมันเกะกะ
ทำไมมันไม่โล่งแจ้งวะ ทำไมมันต้องรู้อยู่อย่างนี้วะ
เหมือนมีสะเก็ดอยู่ในแผล
อยู่ในหนังอย่างนี้ ดูดีๆ ทำไมมันยังมีสะเก็ดอยู่ ทำไมมันไม่เรียบเนียน มันเป็นทุกข์แค่ตรงนั้นน่ะ เข้าใจมั้ย ...แต่ไอ้สะเก็ดนี่แหละ
โคตรพ่อโคตรแม่ของการเกิดเลย
เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดการตายของสรรพสิ่ง นี่
แค่นิดเดียว เหมือนกับเป็นแค่ปรมาณูนึงของรู้ ไม่มีอะไรเลยนะ หมายความว่าในรู้
ไม่มีความว่าเป็นกิเลสไม่มีกิเลสอะไร เป็นแค่รู้จริงๆ นั่นน่ะ
แต่มันเป็นจุดรู้ ...เหมือนทศนิยมในอวกาศ
เข้าใจมั้ย เหมือนอณูนึง ละอองนึงในอวกาศ หรือ อนันตาจักรวาล แล้วมันดันมีอะไรอยู่วะ
เหมือนอวกาศที่มันว่างเปล่านี่ แล้วดันมีละอองอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วเอาไม่ออก ...เหมือนเป็นมลทินๆ
อย่างอื่นน่ะไม่สนใจ ไม่เหลืออะไรแล้วๆ
มันไม่เหลืออะไรแล้ว คือไม่เห็นค่าไม่เห็นคุณไม่เห็นโทษไม่เป็นทุกข์กับอะไร
ไม่สนใจแล้ว ...แต่ยังเหลือนี่
โยม – มันยังพามาเกิดได้มั้ยตัวนี้
พระอาจารย์ – ได้ อย่างน้อยก็ชาตินึง ...ก็ตัวมันคือตัวชาติตัวหนึ่ง ตัวมันก็คือตัวภพอันนึง ของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ
แต่ถึงภาวะอย่างนั้นไม่ต้องกลัวหรอก
มันเป็นไปตามธรรม มันก็จะเป็นไปตามเหตุอันควร ตามอินทรีย์ ...จะอยากละ จะไม่อยากละ
จะอะไรนี่ มันเป็นไปตามครรลองของมรรค จนถึงที่สุดของมรรควันยังค่ำ
คือเป็นผู้ไม่ถอยแล้ว เข้าใจมั้ย
ลองเข้าสู่ภาวะนี้แล้วเป็นผู้ที่ไม่ถอย ไม่หันหลังกลับ มันมีแต่เดินหน้าไปทางเดียว
คือเริ่มเดินหน้าไปตั้งแต่โสดาบัน
คือไม่ถอยกลับแล้ว ยังไงๆ ก็ไม่ถอย ไม่ต้องกลัวหรอก
ไม่ต้องไปรีบเร่งรีบร้อน ถึงจุดมันจะเดินตามกระแส มันเป็นกระแส กระแสจิต
กระแสวิถีมรรค
มันจะเป็นกระแสที่มันผลัก ครรลอง ...ช้าเร็วไม่เกี่ยวแล้ว
ถึงจุดนั้นมันก็จะทอดธุระหมด เป็นผู้ที่ไม่ขวนขวายในขันธ์ เริ่มวาง ไม่ขวนขวายแล้ว
พวกเรายังขวนขวายอยู่มั้ย ยังอาวรณ์อยู่มั้ย ...นั่นแหละ ยังอนาทรร้อนใจอยู่กับอดีตอนาคตของขันธ์ ไม่เฉพาะขันธ์ปัจจุบัน
มันอนาทรไปถึงขันธ์ล่วงหน้า ขันธ์ลับหลังน่ะ ...มันยังมีการขวนขวายในขันธ์
แต่พอถึงจุดนั้นการขวนขวายในขันธ์จะเริ่มน้อยลงไปๆ
น้อยลงไป ...จนถึงไม่เข้าไปขวนขวายในขันธ์ ไม่เข้าไปขวนขวายในโลก
เห็นอะไร ได้ยินอะไร
ใครจะเป็นยังไง มันไม่มีจิตที่เข้าไปขวนขวาย ไปปรุง ไปคาด ไปเดาไปหมาย ...ดูเหมือนคนไร้มนุษยธรรม คนใจจืดใจดำประมาณนั้น
แต่นั่นน่ะคือเมตตาที่ไม่มีประมาณ ...เพราะไม่ได้หวังผลในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย ไม่มีดีร้ายถูกผิดใดๆ ...แต่ตามธรรมที่มากระทบสัมผัสกัน
(ต่อแทร็ก 6/19)