พระอาจารย์
6/11 (541231C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
31 ธันวาคม 2554
(ช่วง 2)
(หมายเหตุ : ต่อจากแทร็ก 6/11 ช่วง 1
พระอาจารย์
– ไอ้ที่มันทุกข์เพราะว่า “เรา” ตาย ...
นี่ ตายแบบโง่ๆ
ก็ดินทั้งแท่ง น้ำเป็นลิตร ยังมาว่าดินนี้น้ำนี้เป็นเรา เรากำลังจะแตก เรากำลังจะตาย นี่ ตายแบบโง่นะเนี่ย ...ดิ้นเหมือนหมาถูกน้ำร้อน...จิตน่ะ ไม่ยอม ไม่ยอมตาย ... เพราะว่า “เรา” มันกำลังจะตาย...มันไม่ยอม
เสียดายมัน หวงมัน ห่วงมัน
อาลัยมัน รักมัน ชอบมัน เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งนานแน่ะ จะมาทิ้งกันยังไง ...'มันสมควรอยู่ได้อีกสักร้อยปี ทำไมอยู่ได้แค่นี้เองเหรอ' ...เนี่ย มันก็ปรุงไปเรื่อยน่ะ
ไม่ยอมๆ ใจมันร่ำร้อง เพราะว่ากายนี้เป็นของเรา ดูยังไงก็เป็นเราวันยังค่ำ
เพราะโง่...มันก็กลับมาเกิด แล้วก็โง่ต่ออีก มาโง่กับกายกันต่อไป ...ก็อยากได้ “เรา” มันก็มาเอาอีก มาเอาดิน
สะเก็ดดิน สะเก็ดน้ำ อุณหภูมิ อากาศ ลม ความว่าง มารวมตัวกันใหม่ ... เพราะมันยังเสียดาย “เรา” เมื่อกี้อยู่ ตัวเราเมื่อกี้ มันหายไปซะแล้ว ...แต่มันไม่ยอมไง มันก็ไปก่อร่างสร้างขันธ์ขึ้นมา
แต่เมื่อใดที่เราเห็น เข้าใจมันโดยถ่องแท้ดีแล้วนี่ จะเห็นว่าไม่มีมันเป็นเรา ไม่มีเราในมัน ... เพราะนั้นเวลาตายก็ไม่มีใครตาย
มันไม่มีใครตายตั้งแต่ไม่มีเราเดินแล้ว ไม่มีเรานั่ง ไม่มีเรากิน ไม่มีเราไป
ไม่มีเรามา ...มีแต่กาย สมมุติว่ากาย ไปๆ มาๆ มันเป็นกายแค่สมมุติ
บัญญัติว่าเป็นหญิงเป็นชายแค่นั้น ...ไม่ใช่ “เรา”
นี่มันเข้าไปล้างถึงต้นขั้วแล้ว...ขั้วใจ ที่มันบังใจอยู่ด้วยความเห็นนั้น ... เพราะนั้นทุกความคิดความอ่าน ทุกความเห็นที่มันออกมา
มันจะผ่านความเห็นผิดตัวนี้ก่อน ...มันก็ออกมาพร้อมกับความยึดมั่นถือมั่น
แล้วจากนั้นก็พยายามตั้งมั่นที่ใจให้ได้
ให้แนบแน่นอยู่ที่ใจ เป็นฐาน เป็นหอสังเกตการณ์ ...ถ้ามีหอสังเกตการณ์ที่มั่นคงแข็งแรงแล้ว
ไม่มีใครทำลายได้แล้วนี่ มันก็จะเห็นโดยรอบ...ใครไป ใครมา มันมาจากไหน หรือมันออกมาจากไหน...มันเห็นเอง
มันเห็นโดยรอบ
แต่ถ้าใจยังเปาะแปะป้อแป้
ล้มลุกคลุกคลาน มันจะเอาเวลาที่ไหนไปดูใคร ... ตัวเองยืนยัง...ยืนแล้วก็ล้มๆ ไม่ต้องไปคิดว่าจะดูขันธ์เป็นไตรลักษณ์หรอก ไม่เห็นหรอก ตัวเองยังยืนไม่ได้เลย จะไปดูอะไร ใช่มั้ย
แต่ถ้าเราตั้งมั่น ยืนดีแล้ว
แข็งแรงดีแล้วนี่ ...ยืนกอดอกดูมัน
ไม่ไหวไม่หวั่น ไม่กลัวไม่เกรง ไม่แก้ไม่หนี ...แน่ะ มันตั้งมั่น นี่คือตั้งมั่น
แต่ถ้ายังป้อแป้ๆ
เหมือนกับคนเพิ่งตื่นนอนหรือว่าสร่างเมาน่ะ งัวเงียๆ มา เขาตบกะโหลกทีก็ล้มพั่บ หรือไม่ต้องตบน่ะ ...แค่เป่าลม พรู่ ก็ล้มแล้ว คือเหมือนมันเพิ่งตื่นนอน หรือว่าสะลึมสะลือ
เข้าใจมั้ย
ไอ้รู้พล้อบๆ แพล้บๆ
แล้วก็รู้หายไปๆ นั่น ไม่ต้องเจอกิเลสตัวใหญ่หรอก แค่ลมเป่าก็ไปแล้ว...ลมปากคุยกัน
คุยๆๆๆ หลงแล้ว หายแล้ว รู้หายแล้ว
แต่ของพวกเราไม่ต้องถามหาทอร์นาโดหรอก
แค่ลมปากใครเป่ามา “เดี๋ยวอิชั้น...เดี๋ยวหนูจะปลิวให้ดูเอง” เนี่ย ความเผลอนิดนึง
เพลินหน่อยนึง...ก็ไปแล้ว มีอะไรสะกิดหูสะกิดตาหน่อย ปึ้บ ไหลแล้ว หลุดแล้ว
เพราะอะไร ...เพราะเจริญสติน้อย
หยั่งลงที่ใจน้อย ตั้งมั่นลงที่ใจน้อย สติก็สติแบบมิจฉาสติ
รู้แล้วก็ไป รู้แล้วก็มา รู้แล้วก็ไปมีไปเป็นกับมัน รู้แล้วก็ไปสงสัยกับมัน
รู้แล้วก็ไปหาความเป็นจริงกับมันต่อไปอีก อย่างเนี้ย ยังไงๆ
ก็ไม่มีทางตั้งมั่นหรอก
ถึงบอกว่า ต้องรู้แล้วลงที่ใจ...ให้เห็นสองสิ่ง แล้วก็รู้...แล้วก็อยู่กับรู้ ไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ได้ไปตั้งที่อื่นนอกเหนือจากใจ
เราเคยเปรียบเทียบให้ฟังหลายครั้งแล้วว่า
เหมือนกับคนที่โดนน้ำท่วม ที่เขาเสียใจเศร้าใจร้องไห้ร้องห่มนี่ เพราะเขาไม่มีบ้าน
เงินหายไป งานหายไป รถหายไป ที่อยู่อาศัยหมดไปหายไป...เขาก็ทุกข์ เพราะอะไร ...เพราะเขาไปตั้งไว้อยู่กับสิ่งนั้น
เขาไปตั้งความหวัง
เขาไปผูกว่าเที่ยงกับสิ่งที่คิดว่าเที่ยง งานบ้าง รถบ้าง ลูกเต้าหลานเหลนบ้าง
เงินทองบ้าง ทรัพย์สมบัติบ้าง ที่อยู่ที่อาศัยบ้าง ...เนี่ย เขาเข้าใจว่ามันจะเที่ยง จะคงอยู่ ก็ไปตั้งอยู่กับมัน ...เขาเรียกว่าไปตั้งผิดที่
เพราะไปตั้งในสิ่งที่มันเป็นไตรลักษณ์
หาความแน่นอนไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่ของใคร ...แต่ด้วยความไม่รู้ ไม่มีปัญญาน่ะ เขาไปผูกซะแน่นเลย ว่ามันเที่ยงแน่ๆ
ไม่หายไปไหนหรอกบ้านหลังนี้ ... พอมันหายไปให้เห็นต่อหน้าต่อตา...รับไม่ได้
แต่ถ้าตั้งอยู่ที่ใจล่ะ...รับได้นะ
หรือถึงไม่ได้ก็ทุกข์น้อยกว่า ถ้าตั้งแบบไม่หวั่นไหวเลยก็หมายความว่า อื้อ งั้นๆ
เป็นธรรมดา อยู่ในโลกนี่ก็เป็นธรรมดาอย่างนี้ หาความแน่นอนในโลกไม่ได้ มันไม่มากขึ้นก็น้อยลง ถ้าไม่น้อยลงไม่มากขึ้น ก็หายไปเลย แล้วไม่รู้ด้วยว่ามันจะมาเมื่อไหร่
นั่น ตั้งมั่นแล้ว อยู่ที่ใจรู้อยู่ ตั้งอยู่...ก็รู้ กำลังจะหายไป...ก็รู้
หายไปหมดสิ้น...ก็รู้ เห็นมั้ย ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถ้าอยู่ตรงนั้นน่ะ ตั้งอยู่...ยิ้ม
กำลังจะล้ม...หน้าเบ้ ล้มแล้ว...ร้องไห้ เห็นมั้ย ตั้งอยู่ผิดที่ เป็นอย่างงั้น
ตั้งอยู่...รู้...เฉย กำลังล้ม...รู้...เฉย ล้มแล้ว...รู้...เฉย ไม่เปลี่ยนแปลงรู้นี้ นี่เรียกว่าจิตตั้งมั่น ... ต้องมีที่ตั้งให้มัน ไม่งั้น สติก็รู้อยู่นะ
เห็นอยู่นะ แต่ทำไมร้องไห้ล่ะ ทำไมยังทุกข์อยู่ล่ะ ทำไมยังดีใจ-เสียใจ
เห็นอะไรแล้วดีใจ
มีสภาวะใดเกิดขึ้นนี่ โหย ภูมิใจ ...หลงแล้วนะ
ไม่เห็นแล้วนะว่ามีความอยากแอบไปเข้าอยู่ตรงนั้น ใจหายไปแล้ว
สลายกลายเป็นความอยากไปแล้ว ถูกตัณหามันปิดบังแล้วก็สร้างความพอใจ-ไม่พอใจขึ้นมา
ให้รู้ให้ชัด เอาให้มั่น
ตั้งลงที่ใจที่เดียวเท่านั้น ...พอมันจะไปตั้งไปหวังกับสิ่งใดข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง
หรือคิดเอา คะเนเอา แล้วก็ไปตั้งมันขึ้นมา
แล้วจะไปเอาตรงนั้น เลยไปตั้งอยู่กับมันตรงนั้น ...รู้แล้วให้ละ ไอ้ที่มันหมายไว้
ถึงไม่ได้หมายไว้ แต่มันกำลังทำไปสู่อะไรก็ไม่รู้นั่นน่ะ ...ละการกระทำนั้นซะ จิตมันกำลังจะพาให้ร่อนออกไป
เร่ออกไป
เหมือนโจรน่ะมันพาออกไป พาทรัพย์สมบัติของคนอื่นไป ...คำว่าของคนอื่นก็คือไม่ใช่ของใคร แต่มันจะเอามาเป็นของเรา นั่นแหละคือโทษ คือผิดศีล...ศีลวิสุทธินะ ไม่ใช่ศีลบัญญัติ ห้าข้อสิบข้อนะ แต่ตัวนี้ถือว่าเป็นผิดศีลวิสุทธิ
ศีลไม่บริสุทธิ์
เพราะนั้นพระอริยเจ้าท่านรักษาศีลข้อเดียว
ท่านรักษาที่ใจนี่ ศีลห้าข้อสิบข้อท่านก็งั้นๆ น่ะ ทำไปยังศรัทธาแก่มหาชน
นั่น ... แต่ศีลจริงท่านรักษาตรงนี้
จิตนี่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหรอก ออกมา...ตาย ท่านไม่เชื่ออะไรลมๆ
แล้งๆ กับจิตปรุงแต่ง ที่เหมือนมันพ่นลมอะไรออกมา ไม่ให้ค่ามันเลย ... ท่านรักษาศีลนี้ รักษาความบริสุทธิ์ของใจไว้
เสมอชีวิต
เพราะฉะนั้นไอ้ที่เขาบอกว่าเป็นพระโสดาบันแล้วศีลบริสุทธิ์
ท่านไม่ละเมิดศีล รักษาศีลเท่าชีวิต คือ นี่
ศีลวิสุทธิ นี่เท่าชีวิต ไม่มีเล็ดลอดเลย ระวังยิ่งกว่าของมีค่าจะสูญหายอีก
บ้านจะพัง รถจะพัง จิตอย่าเคลื่อนนะ
เคลื่อนมึงตาย...นี่ท่านรักษานี่เท่าชีวิต ของนี่ไม่เอามือไปดึงเลยนะ ไม่ไปรั้ง ไม่ไปเหนี่ยว ไม่ไปวิ่งร้องขอความช่วยเหลือ
โทรหาใครมาช่วยเอาให้อยู่ ...ท่านไม่สนใจตรงนั้น เอาแต่ตรงนี้เท่านี้ชีวิต รักษาศีลยิ่งชีวิตเลย
ท่านไม่กลัวโลกเสื่อม
ท่านไม่กลัวโลกพัง แม้กระทั่งกาย กำลังแตก กำลังหัก กำลังพัง กำลังเอาคืนไม่ได้
ท่านไม่สนใจ ...ท่านสนใจตรงนี้นี่ เท่าชีวิต ท่านเอาตรงนี้คือ...อยู่มั้ย รู้อยู่มั้ย
มีรู้อยู่มั้ย ใจยังอยู่มั้ย ยังรู้เป็นปกติมั้ย ...มันผิดปกติเพราะอะไร ก็ละความผิดปกตินั้นออกซะ นี่ ท่านรักษาศีลเท่าชีวิต
ที่เราพูดทั้งหมด ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติ
แต่เป็นหลักปฏิบัติ ... ไม่ใช่วิธีแต่เป็นหลัก ถ้าเข้าใจแล้วจะเข้าใจว่านี่คือหลัก
หลักที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้ ...แต่จะเข้าสู่หลักนี้อย่างไร นั่นคืออุบาย เข้าใจมั้ย ... แต่ถ้าเข้าใจหลักแล้ว จับหลักให้มั่น ... อะไรที่ไม่ใช่หลัก
อย่าเสียดาย ทิ้งเลย อย่าไปเอาขยะ
เหมือนเวลาลอยอยู่ในทะเลน่ะ
ว่ายน้ำก็ไม่เป็น มันก็ไหลไปตามกระแสน้ำ มันจะพัดไปทางไหนก็ไม่รู้ จมก็จะจม
ทะลึ่งขึ้นมาก็หายใจทีนึง เห็นขยะลอยมาก็คว้า เห็นกิ่งไม้ลอยมาก็คว้า ...คว้าแล้วไง ...ก็ไม่ไงน่ะ ก็ลอยไปตามกระแสต่อกับขยะหรือกิ่งไม้สวะกอนั้น
เพราะนั้นต้องจับหลัก มันมีหลักอยู่...ที่มันไม่ไปไม่มา
ไม่ไหลไปตามกระแส บอกให้เมื่อกี้แล้ว...คือใจ ใจรู้อยู่ นั่นแหละคือหลัก ...แล้วหลักนี่ก็ไม่ต้องหา มันมีอยู่แล้ว
ด้วยสติระลึกขึ้น หลักก็ปรากฏ...โผล่ขึ้นมาแล้ว
จับหลักให้มั่น อย่าเห็นดีเห็นงามกับกองขยะที่ลอยไปลอยมา
อย่าไปหลงเชื่อคำโอ้อวด ทั้งจิตตัวเอง ทั้งความเห็นผู้อื่น … เอาหลักเดียว...คือหลักใจ นั่นแหละ จับหลักให้มั่น
แล้วจะไม่ตกอยู่ใต้กระแสน้ำหมุนวน คือ ทะเลทุกข์ หรือโอฆะสงสาร
ห้วงมหรรณพแห่งทุกข์
ถ้าเข้าใจหลักแล้ว เอาหลักอย่างเดียว ...
ถ้ายังไม่เข้าใจหลัก หาอุบายที่เข้าสู่หลัก เห็นมั้ย พุทโธก็ตาม ลมหายใจก็ตาม
เดินจงกรมก็ตาม นั่งสมาธิก็ตาม นี่คืออุบาย...ให้เข้าคืนสู่หลัก ...จะพิจารณาธรรมบทไหนๆๆ ก็ต้องเข้าสู่หลัก ถ้าไม่เข้าสู่หลัก ยังไงก็คือสวะกองหนึ่ง
ที่ลอยไปลอยมา
ไม่ต้องไปไล่เถียงกัน ทะเลาะกัน
ใครดีกว่ากัน ...มันผิดทั้งคู่น่ะ ถ้าออกนอกใจนี้
มันต้องมีความเห็นออกมา มันต้องมีผลประโยชน์ออกมา หรือว่าผลลัพธ์ออกมา ...ซึ่งผลลัพธ์ออกมาก็ไม่เหมือนกันหรอก แล้วจะมาทะเลาะกันทำไม ...ก็บอกให้เลยว่ามันผิดทั้งคู่
รู้ไว้ อยู่ที่รู้ไว้ นั่นแหละถูก...ถูกใจ
ถูกใจเลย ถูกใจตัวเองก็ถูกใจพระพุทธเจ้าน่ะ
ก็ใจดวงเดียวกัน ...มันแบ่งไม่ได้นี่ ถ้าลงที่ใจหรือว่าถูกที่ใจแล้ว มันถูกกับพระพุทธเจ้าเลย
พวกเดียวกัน ใจเดียวกัน ... เพราะนั้นถ้าลงที่ใจ ลงที่หลักแล้ว...ถูกใจ
อย่าไปเอาสวะมาเป็นมรรคเป็นผล
อย่าเอาความคิดความเห็นเป็นมรรคเป็นผล อย่าเอาอดีต-อนาคตเป็นมรรคเป็นผล
อย่าเอาเวลามาเป็นมรรคเป็นผล
มีเวลาเดียว...“เดี๋ยวนี้” ถ้าขึ้นชื่อว่า “เดี๋ยวนี้” น่ะ แปลว่ามันไม่มีเวลา
มันเกินเวลาแล้ว นอกเหนือจากคำว่าเวลาแล้ว ...เพราะว่ามีเวลาเดียวคือ “เดี๋ยวนี้”
พอมันอ้างว่า ตอนนั้นมั้ย ตอนนี้มั้ย
ให้รู้ไว้เลย...มันเป็นความปรุงของจิตเป็นเวลาขึ้นมา ช้าบ้าง นานบ้าง เร็วบ้าง
พอเวลามา...เป็นทุกข์แล้ว ปรุงขึ้นมาเป็นเวลาก็ทุกข์แล้ว ... เดี๋ยวนี้เลย
รู้มันตรงนั้นเลย ...นั่น เวลาก็ขาด มันก็หลุดออกจากเวลาแล้ว เห็นมั้ย เหนือกาลเวลา
จึงไม่มีคำว่าช้า จึงไม่มีคำว่าเร็ว จึงไม่มีคำว่าได้ จึงไม่มีคำว่าเสีย ...ถ้ามันไม่ได้ มันจะไปเสียอะไร ถ้าไม่เอาอะไร มันจะมีอะไร ... นั่นแหละ ไม่ต้องกลัวเสื่อม เพราะมันไม่เจริญ ...ไอ้ที่พวกเรากลัวเสื่อมเพราะมันอยากเจริญ พอได้เจริญแล้วมันก็เลยเสื่อม
เพราะเจริญไม่เที่ยง
เพราะนั้นถ้าได้มันก็ต้องมีเสีย
ถ้ามีเสียมันก็ยังมีการหาต่อ ...ก็ไม่เสีย
ไม่หา ไม่ไป ไม่มา ไม่มี ไม่เป็น ...มีอยู่ที่เดียว รู้อันเดียว นั่นแหละเต็ม...มันเต็ม
มันเต็มอยู่ในที่นั้นน่ะ มันพอดี มันไม่ขาด มันไม่เกิน นั่นน่ะเต็มในองค์มรรค
ทำความเต็ม เติมเต็ม...ด้วยศีล สติ สมาธิ
ปัญญา...ในใจดวงนั้นอยู่เสมอ ...ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อถอย ไม่ขี้เกียจ ไม่ขี้คร้าน
ไม่หาอะไรอื่นที่เข้าใจว่าดีกว่า...ไม่เอา
ช้า-เร็ว ไม่สน ไม่มีเวลา ...มีเวลาเดียว
เวลานี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ขณะนี้ เท่านั้น ... ใครเขาจะเร็ว ใครจะช้า ก็อนุโมทนา ...ไปเหอะ
ไม่ไปด้วยแล้ว ไม่ตามไปหรอก จะอยู่ตรงนี้ อยู่ที่เดียวนี่ ...ให้เขาไป
อย่าเอาความคิดตามเขาไป อย่าเอาจิตตามเขาไป เดี๋ยวถูกหลอก ... ไม่ไป
เดี๋ยวตัวเองก็หลอกตัวเองอีก “เดี๋ยวไม่ได้นะ
ต้องตามเขาไปซะหน่อย เดี๋ยวตกรถ” ... ไม่เอา ไม่ไป อยู่ตรงนี้ รู้อยู่ๆ
รู้อยู่ที่เดียว ดูดิ๊ใครจะแน่กว่ากัน ระหว่างจิตที่มันลากไปลากมา...กับจิตที่รู้อยู่
นี่ อำนาจของสติสมาธิปัญญา
เป็นอุปกรณ์ที่จะรักษาใจไว้ให้อยู่ในที่อันเดียว นั่นคือเป้าหมายของสติสมาธิปัญญา ที่จะมาชำระ...สู่ความเป็นศีลวิสุทธิ
คือความเป็นปกติของทั้งใจและขันธ์ คือธรรมดา
กลับมารักษาศีล ...สติก็รักษาเพื่อให้เกิดความเป็นปกติ สมาธิก็ตั้งมั่นรับรู้รับทราบกับทุกอย่างเป็นปกติ
ให้เขาเป็นไปตามปกติ ปัญญาก็ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างตามปกติ มากก็มาก น้อยก็น้อย
ลงก็ลง ให้เขาเป็นไปตามปกติ ด้วยใจที่เป็นปกติ
เห็นมั้ย
ทุกอย่างมันมาสงเคราะห์ลงสู่ความเป็นศีลวิสุทธิหมด คือความบริสุทธิ์เป็นปกติธรรมดา
เพราะตอนนี้คนทั่วไปนี่มันไม่ธรรมดาเลย
มันชอบเหนือธรรมดา มันอยู่แบบเหนือธรรมดา ... เพราะจิตมันชอบปรุง แต่งแต้มสีสัน
เติมแต่ง เห็นมั้ย ในโลกนี่มันจึงอยู่แบบผิดธรรมดา เพราะมันแต่งแต้มสีสัน
ด้วยจิตปรุงแต่ง หรือว่าจิตสังขาร
ศีลสมาธิปัญญาจึงเป็นตัวที่ปรับให้คืนสู่สภาพเดิมหมดเลย
คืนสู่ธรรมชาติเดิมหมดเลยทั้งกายทั้งใจ ... เพราะนั้นยิ่งธรรมดาเท่าไหร่
ยิ่งจืดชืดลงเท่าไหร่ นั่นแหละมันเหมือนกระดาษขาวน่ะ นั่นแหละคือปกติ
แต่ตอนนี้ที่มันเป็นกันนี่คือกระดาษที่ขีดเขียนเติมสีน่ะ
นี่ ปรุงแต่ง แต้มลงไปในกระดาษเปล่า แล้วก็มาหลงรูป หลงข้อความ ... เป็นจริงเป็นจังกับมัน
แต่ถ้าดูโดยที่ว่ารากเหง้า ต้นธาตุ
ต้นธรรม ต้นจิต ...มันไม่เป็นอะไรสักอย่าง ราบเรียบ เป็นธรรมดา เป็นกลาง เสมอกันหมด
ดูเอา ไปสังเกตดู จิตแรกน่ะ
ทีแรกคืออะไร ... เมื่อใดที่เรารู้ขณะแรก
แล้วมันปรากฏยังไง นั่นแหละ ยังงั้น ...มันไม่มีอะไร ไม่ว่าอะไรเลย นั่นแหละ
ตรงที่สุด
.......................................