วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 6/27 (2)


พระอาจารย์
6/27 (550106E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 มกราคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/27  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นั่น คำแรกที่เราพูด บอกว่า “ตายแน่” (โยมหัวเราะกัน) ...พูดกันไปเลยนี่  ไม่ต้องมาอ้อมค้อม ไม่ต้องมาโอ้โลมปฏิโลม ไม่ต้องมาสอพลอ ไม่ต้องมาเสแสร้ง

ก็บอก “ตายแน่ ตายแน่ๆ ยังไงก็ตายแน่ แล้วดูท่าทางท่านต้องตายก่อนผมแน่ๆ เพราะดูแล้วตามความเป็นจริงนี่ แน่ๆ เลย ผมไม่ต้องคิดไม่ต้องถาม ท่านต้องตายแน่ๆ ก่อนผม

และผมก็เห็นว่าหลวงปู่ก็ตายไปก่อนล่วงหน้าแล้ว และท่านตามมา แล้วเดี๋ยวผมตามไปต้องยอมรับ อย่ากลัว อย่ากลัวตาย อย่าคิดว่าจะเหนือมัน อย่าคิดว่าจะแก้มัน จะให้มันดีขึ้นกว่าเดิม ...อย่าคิดทั้งสิ้น

ตอนนี้ ท่านภาวนาอะไรมาผมไม่รู้ ท่านไปหาครูบาอาจารย์มากมายมหาศาล ร่อนเร่ไปทั่ว นักธุดงค์น่ะ ผมไม่รู้ ...อุบายน่ะ ไม่มีผลแล้ว ใช่ไม่ได้หรอก

เอาแค่ว่าเดี๋ยวนี้น่ะ มี “รู้” อยู่ไหม...อยู่ตรงนั้นน่ะ ... อยากตาย..รู้  ไม่อยากตาย..รู้ อยากให้มันหาย..รู้ กลัวตาย..รู้ ตายแล้วจะไปไหน..รู้ว่าคิด ห่วงคนข้างหลังเขาจะอยู่กันยังไง เงินทองจะเป็นยังไง..รู้

มีวิธีเดียว ท่านต้องเอาตรงนี้ให้อยู่ ...จะมาพิจารณาเอาชนะเวทนา แยกเวทนาเป็นส่วนๆๆๆ จะเอาพุทโธเป็นที่ระลึกรู้ ให้มันรวม พิจารณากิเลสเป็นตัวๆ ขึ้นมา ...ไม่ทันกินหรอก

นั่น ก็ฟังตั้งแต่เราว่า “ตายแน่ๆ” ยันประโยคสุดท้ายตอนนั้น ชั่วโมงกว่า ...น้ำตาไหล ยกมือพนมมือ ผงกหัว จากที่ว่าเข้าขั้นจะโคม่านะ จากนั้นมาก็ฟังทุกวัน เทศน์ออกลำโพง...ยันมันตายน่ะ 

ตายแล้ว ตายไปแล้ว นี่ กำลังจะเผาอยู่ที่ขอนแก่น ...ก็ตายให้มันสมศักดิ์ศรีหน่อย ตายแบบไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่ใช่ตายแบบงอก่องอขิง ตายแบบกล้าๆ กลัวๆ ตายแบบไม่รู้จะไปไหน 

จะไปกลัวทำไม ตายแน่ๆ ยังไงก็ตาย...มันไม่ต้องกลัวหรอกว่าไม่ตาย ...จะตายเจ็บ ตายไม่เจ็บ จะเจ็บจนตาย ไม่เจ็บจนตาย ...ยังไงก็ตายอยู่ดีน่ะ  

ตาย-ไม่ตายนี่ไม่สนใจหรอก ถามว่า รู้มั้ย ถามว่ามีรู้มั้ย ...ก็บอก ที่ผมพูดนี่ไม่ใช่อะไร นี่ก็ว่าไป ท่านก็ลูกศิษย์หลวงปู่ ผมก็ลูกศิษย์หลวงปู่ ...หลวงปู่สอนอะไร ดวงจิตผู้รู้ใช่ไหม 

ท่านไม่ได้สอนอะไรมากมายกว่านั้นหรอก พูดแล้วตื่นตีสามมาก็ดวงจิตผู้รู้ ทุ่มนึงมาก็ดวงจิตผู้รู้ (โยมหัวเราะกัน) ท่านเทศน์มาตั้งสี่สิบห้าสิบปีก็วนเวียนอยู่แค่นี้ ...ท่านจะมาเก่งกว่าหลวงปู่อีกหรือ 

นั่นแหละ ก็เอาจนตายน่ะ เทศน์กันจนวันตายน่ะ ...แต่บอกแล้วว่า อาศัยที่ว่า หนึ่ง เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ สอง เคยภาวนา สาม เราไปตบกะโหลกเรียกสติให้คืน เข้าใจมั้ย

บางทีมันก็ทำไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ภาวนามันก็เรื่อยเปื่อยนะ มันไม่มีหลักน่ะ มันจับหลักไม่ถูก ...ก็ต้องเตือนกัน แรงบ้าง เบาบ้าง โอ้โลมบ้าง ปฏิโลมบ้าง เพื่อให้ฟื้นจิตตื่นขึ้น

ตายแล้ว ยังเป็นผีมาหลอกอีก แน่ะ มาแบบชุดขาวมาเลย มานั่งนี่ มาจากไหน ถามไม่พูดไม่ตอบ ช่างหัวมึง ไปเหอะ คงไม่ได้ไปเป็นแม่ชีอ่ะนะชุดขาวนี่ มากราบแล้วก็ลาไป ฮื่อ สุคติเป็นที่ไป

เกิดมาก็มาเป็นกันต่อ เวลามีชีวิตอยู่ ให้ดู ให้รู้ ให้เห็น...อยู่กับที่อันเดียว ...ก็ดันไปเจริญภาวนาแบบอินเทรนด์เอาท์เทรนด์อยู่นั่น เวลาคับขันนี่ ทำยังไง หือ ภาวนามาเป็นสิบๆ ปี เกือบยี่สิบปี ช่วยอะไรได้ไหม

น้ำตาน้ำหูไหล ดิ้นทุรนทุราย ห่วงนั่นกังวลนี่ ...ขาดไหมนี่ ถึงเวลาตายนี่ มันมีแต่ภาระที่ยังไม่เสร็จสิ้นทั้งนั้น ไอ้นั่นก็ยังไม่ได้ ไอ้นั่นก็ยังไม่พร้อม ไอ้นี่ก็ยังไม่ควร สุดท้ายก็ยังไม่สมควรตาย

มันจะวนอยู่ในภาวะจิตสังขาร จิตมาร กิเลสมาร วนอยู่ ขี่ม้ารอบเมืองอยู่อย่างนั้น ...เพื่ออะไร เพื่อไม่ให้กลับคืนสู่ใจเดิมใจแท้ที่เป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็นเท่านั้น

เพราะนั้น ระหว่างอยู่ดีมีแรง กินดี กินข้าวขี้ออกนี่ ...สติมีมั้ย รู้ไว้ เจริญไว้ ตั้งมั่นเอาไว้ ฝึกไว้ ปัญญามันจะได้เกิดมากขึ้น สติมันจะได้ตั้งมั่นลงลึกขึ้น

สมาธิมันก็มาแน่วแน่ในที่อันเดียวมากขึ้น เข้าใจมั้ย ถ้าปัญญามันมากขึ้นแล้วนี่ มันก็จะแน่วแน่ในที่อันเดียวมากขึ้นคือใจ...ลงที่ใจ ลงที่ผู้รู้มากขึ้น

อะไรนอกนั้น...ก็ละก็วาง ก็ละก็ปล่อย ไม่เอา ...ไม่เอามันก็เห็นในความดับไป เป็นไตรลักษณ์ เป็นธรรมดา มันก็เป็นเงาของปัญญาเกิดขึ้นมากขึ้นตามตัวอีก

เวลาคับขันนี่ ก็ไม่ต้องเรียกไม่ต้องหา ไม่ต้องไปโทรข้ามมาจากหัวหินมาถึงเชียงใหม่นี่ ให้เทศน์เจ็ดโมงเช้าเจ็ดโมงเย็น ถึงจะตามสติให้ฟื้นขึ้นมาได้นี่

ให้เป็นแบบบ๋อย ไปกินอาหารในร้านน่ะ เรียกบ๋อย น้ำหมด น้ำแข็งหมด ข้าวหมด สั่งกับ ...เรียกมันทั้งวัน เรียกมันทุกขณะ จนบ๋อยมันยืนตัวลีบ ไม่กล้าไปไหน เพราะมึงเรียกกูจังๆ ...นั่น สติ เหมือนบ๋อย

ไม่ใช่กินไป เพลิน มัวคุยไป เมาเพลินแล้ว ไม่รู้จะสั่งอะไร ...บ๋อยรอจนจะหลับแล้ว กูไปทำงานที่อื่นดีกว่า เพราะโต๊ะอื่นเขาเรียกใช้มากกว่า นั่น

พอถึงคราวจะใช้ เรียกบ๋อยๆ อยู่ไหนวะ ...เรียกก็ไม่มา หาก็ไม่เจอ เห็นมั้ยสติไม่มา สมาธิไม่ตั้ง ปัญญาไม่มีหรอก …ก็เรียกใช้บ่อยๆ บ๋อย...สตินี่

แล้วก็ใช้ให้ถูกงาน ...ไม่ใช่เรียกบ๋อยมาสมคบคิดกัน กูจะไปปล้นที่ไหนดีวะ มึงว่าแขกคนไหนรวย มันอยู่ตรงไหน อย่างนี้...คือรู้แล้วไม่อยู่ รู้แล้วไป 

รู้แล้ว...จะทำยังไงต่อ  รู้แล้ว..จะทำยังไงกับมันดี  รู้แล้ว..ดีหรือไม่ดีวะอย่างนี้ ถูกหรือผิด  รู้แล้วสงสัย ...ไอ้นี่เขาเรียกว่าสมคบกับบ๋อยชั่ว

ถ้าบ๋อยดีคือ...รู้อยู่ ทำงานตามตรง รู้แล้วตั้ง รู้แล้วจิตอยู่  รู้แล้วอยู่กับรู้ รู้แล้วรู้ชัดเห็นชัดอยู่ภายใน ตั้งอยู่ภายใน ...นั่นน่ะ บ๋อยดี ใช้บ๋อยเป็นสัมมา

ไม่งั้นบ๋อยมันก็พาไปเมาแอ๋อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แนะนำตรงนั้นตรงนี้ ...ที่นั้นครับนาย ที่นั้นบรรยากาศก็ดี ดนตรีก็ไพเราะ อาหารก็อร่อย จิตใจท่านจะเบิกบานผ่องใส นิพพานน่ะอยู่ใกล้ๆ เลยแหละ

นั่น เสร็จบ๋อย ไป ที่ไหนก็ไป ขอธุดงค์หน่อย มีเท่าไหร่ใช้ให้หมดกับตรงนั้น ...นั่น สุดท้ายโดนหลอก พาวนเวียนไปเสร็จ บ๋อยตีหัวปัง ปลดทรัพย์ (หัวเราะ)

เนี่ย ถูกหลอกฆ่าอีกแล้ว ไม่ได้อะไรเลย “หนูไม่น่าเลย เราไม่น่าเลย รู้งี้ไม่ไป รู้งี้ไม่คิด รู้งี้ไม่ปรุง รู้งี้ไม่หาซะดีกว่า” ...นั่น รับวิบากไป วิบากทุกข์ทั้งนั้น

เพราะนั้นรู้ไว้ อยู่กับรู้  สติมีไว้เพื่อรู้ แล้วก็ตั้งลงที่รู้ ดวงจิตผู้รู้ ...แล้วจากเป็นผู้รู้แล้ว เอามาเห็นธรรมตามจริง อันไหนไม่จริงทิ้งไป อันไหนจริง...อยู่กับมัน อดทนอยู่กับมัน

เพราะมันแสดงไม่บิดเบือนหรอก ธรรมนี่ไม่บิดเบือน มันตรงในตัวของมันเองอยู่แล้ว ...แต่เราน่ะเป็นผู้ปฏิบัติที่ไม่ตรง ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่สมควรแก่ธรรม...มันก็ไม่เห็นธรรม

ถ้าตรง ดี ชอบ สมควรแก่ธรรมแล้ว...ก็จะเห็นธรรม และเป็นธรรม เข้าถึงธรรม รู้ธรรมเห็นธรรมตามจริง ...ก็เรียกว่าเป็นผู้เข้าถึงธรรม

ถ้าเข้าไม่ถึงธรรมมันก็เลียบๆ เคียงๆ แล้วก็ร่อนเร่อยู่นอกธรรม แล้วก็บ้าบอไปกับธรรมมั่ว ธรรมเมา ธรรมมัว ธรรมที่มีความปรุงแต่งจากอำนาจความไม่รู้ อำนาจของตัณหาอุปาทาน 

อำนาจของกามตัณหา วิภวตัณหา อำนาจของราคะ อำนาจของโทสะ อำนาจของโลภะ พวกนี้มันจะปรุงแต่งเป็นธรรมขึ้นมาล่อหลอกให้เราลุ่มหลงมัวเมาอยู่เสมอ

อย่าตาม อย่าไปเห็นดีเห็นงามกับมัน อย่าไปคบมันเป็นเสี่ยวเป็นสหายเป็นเพื่อน ...มันโจร สันดานมันเป็นโจร สุดท้ายคือนำทุกข์นำโทษ นำเภทภัยมา นำความสุขน้อยทุกข์มากมาเสมอแหละ 

ถึงแม้มันจะเอาว่าดูเหมือนเป็นสุขมากมาให้เราเชื่อ มาให้เราหลงก็ตาม ...สุดท้ายสุขนั้นก็ดับไป มีแต่ความทุกข์คืนมาเท่าเก่า ไม่ได้ดีไม่ได้ร้ายกว่าเดิมหรอก ...มีแต่ทุกข์กับทุกข์ทั้งสิ้น

เนี่ย จนมันฉลาดรู้ ฉลาดเห็น  รอบรู้ รอบคอบ เท่าทัน เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ มั่นคงอยู่ในที่อันเดียว ...ไม่เอาไม่มี ไม่ไป ไม่มา ไม่เป็นกับอะไรเลย

มีหรือมันจะไม่คลาย มีหรือมันจะไม่หน่าย มีหรือมันจะไม่จาง มีหรือมันจะไม่คลายออกจากความลุ่มหลงมัวเมาในธาตุ ในขันธ์ ในโลก ในธรรมทั้งหลายทั้งปวง

เพียรทั้งนั้นน่ะ อาศัยความพากความเพียร ...เพราะว่าระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ มันก็จะถูกกรอกหูอยู่เรื่อย ด้วยการรับรู้รับเห็น รับทราบในสภาวธรรม สภาวะวิถีธรรม 

การปฏิบัติธรรมของแต่ละสัตว์แต่ละบุคคล แต่ละผู้ภาวนา ...ผลของการปฏิบัติของแต่ละคน มันจะมาโยก มาคลอน มาสั่น มาไหวเราอยู่เสมอ

ก็ไม่เอาถูกเอาผิดกับอะไร ถูกก็ไม่เอา ผิดก็ไม่เอา...ไม่ใช่ไม่เอาแต่ผิด ถูกก็ไม่เอา  ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา 

เอารู้อันเดียว รู้ที่เดียว นั่น เป็นตัวตัดสินธรรม ...ไม่ต้องเอาความคิดเป็นตัวตัดสิน ไม่ต้องเอาความเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง...แม้กระทั่งตัวเอง มาเป็นตัวตัดสิน

เอาใจเป็นที่ตัดสิน คือรู้อยู่ในรู้ เห็นอยู่ที่เห็น ...ตรงนั้นแหละเป็นที่ที่ตรงที่สุดแล้ว กลางที่สุดแล้ว สมควรที่สุดแล้ว สมดุลที่สุดแล้ว ยุติธรรมที่สุดแล้ว 

เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงมาถึงที่ใจแล้ว อยู่ที่รู้แล้ว อยู่ที่เห็นแล้ว...มันยุติ มันมีที่ยุติ มันมีที่จบ มันมีที่หยุด ...ถ้าออกจากตรงใจนี้ ธรรมนี้จะไม่ยุติ ไม่จบไม่สิ้น ไปเรื่อย

นั่น หักห้ามใจไว้ ด้วยสติสมาธิปัญญานั่นแหละ ได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ได้ต่อเนื่องเอาต่อเนื่อง ได้ไม่ขาดเอาไม่ขาด เอาให้มันเข้มข้นขึ้น ...ไม่ใช่ปฏิบัติไปจืดจางไป 

ไอ้กิเลสไม่ได้จืดจางนะ สติสมาธินี่จืดจาง แต่กิเลสนี่เข้มข้น ...มันปฏิบัติสวนทางกันรึเปล่า ดูเอา ถ้ามันปฏิบัติตรง แล้วดี ชอบแล้วนี่ สติสมาธิมันจะเข้มขึ้น ความเบาบางจะมากขึ้นๆ

ความหนาแน่น ความหนักหน่วง ความเสียดแทง ความกระเหี้ยนกระหือรือ ความทะเยอทะยาน การกระโดดกระโจนไปมา จะน้อยลงไปตามลำดับ จนถึงขั้นไม่มีเลย

ทุกอย่างผ่านไปเหมือนลมโชยมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่ะ ...ใจมันก็อยู่เหมือนกับแผ่นดินแผ่นหิน เหมือนเสาหินน่ะ นั่นน่ะผล ...เอาผลนั่นผลเดียวน่ะ ตรวจสอบได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ 

พอแล้ว สมควรแก่ธรรม นั่นแหละ


.....................................




วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 6/27 (1)


พระอาจารย์
6/27 (550106E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 มกราคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ขึ้นชื่อว่าใจเป็นใหญ่ พระพุทธเจ้าท่านว่าใจเป็นใหญ่นะ อะไรจะใหญ่กว่าใจ หา อะไรจะสำคัญกว่าใจ อะไรมีค่าควรที่จะทิ้งใจเพื่อไปหามัน หือ

พระพุทธเจ้าว่าใจเป็นใหญ่นะ ไม่มีอะไรใหญ่กว่าใจ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าใจนะ ...ทำไมยังหาอะไรกันจัง แล้วก็ทิ้งใจกันจัง ...ทิ้งใจก็คือทิ้งผู้รู้น่ะ เอาอย่างนั้น ผู้รู้ไม่ใช่ใจ แต่ว่าผู้รู้เป็นเครื่องหมายหนึ่งของใจ เอ้า

ในความเวียนว่ายตายเกิด นับภพนับชาติไม่ถ้วนนี่ เห็นใจแค่ ๔ ครั้งเท่านั้น ...แต่ว่าผู้รู้ผู้เห็นนี่ เป็นนิมิตหนึ่ง เครื่องหมายหนึ่งของใจ ที่จะเข้าให้ถึงใจ เห็นใจที่แท้จริง

อยากเห็นใจ อยากอยู่กับใจ เห็นว่าใจเป็นใหญ่เป็นสำคัญจริงนี่...ทิ้งให้หมด ยกเว้นใจ...ต้องมีๆ ต้องอยู่ ต้องมีรู้อยู่

เพราะฉะนั้น สติสมาธิปัญญานี่ จะพูดยังไงก็ได้ มันเป็นแค่สมมุติธรรม หรือว่าเป็นเจตสิกธรรมหนึ่งเท่านั้นแหละ ...แต่มันเป็นอุปกรณ์เพื่อให้ใจดวงนี้อยู่ ปรากฏ ในฐานะผู้รู้ผู้เห็น 

นั่นน่ะใกล้เคียงใจที่สุดแล้ว ...อุปมาใจนี่ คืออากาศในห้องนี้ เอ้า ผู้รู้นี่คือประตูห้อง ห้องนี้มันปิดสี่ด้าน เอ้า ใจอยู่ตรงนี้ ผู้รู้อยู่ตรงนั้น ...ผู้รู้เป็นประตู ถ้าอยากจะเห็นใจ รู้ว่าใจคืออะไรนี่ มันต้องเข้าทางเดียว นี่ ประตูนี้

ไอ้บ้านทั้งหลังที่มันก่อห่อหุ้มมาเป็นห้อง ดูเหมือนเป็นห้องนี่ เสนามาร ขันธมาร กิเลสมาร คืออาสวะน้อยใหญ่ อนุสัยน้อยใหญ่ มันห่อหุ้มจนเป็นห้องหับขึ้นมา

แต่ว่ามันเปิดได้ เพราะใจนี่เป็นผู้ควบคุมทั้งหมดของขันธ์ เป็นประธาน ...ถ้าไม่มีใจนี่ พวกนี้ก็ทำงานไม่ได้ มันเนื่องกันอย่างนี้

แต่เมื่อใดที่ไม่มีสติสมาธิปัญญานี่ พญามารทั้งหลายนี่ หรืออาสวะ โมหะนี่ มันก็มาปิดประตู มืดตึ้บ ไม่เห็นใจ ...จริงๆ มันก็ไม่เห็นอยู่แล้ว แต่เห็นประตูเปิดคือผู้รู้ 

นี่ ก็ไม่ได้อยู่ในใจ ยังเข้าไม่ถึงใจหรอก ...แต่ต้องอาศัยนี่ ประตูนี้ประตูเดียว เพื่อให้กลับมาอยู่ตรงนี้ ...ถ้าอยู่ตรงนี้ได้เมื่อไหร่นี่ หรือว่าเห็นตรงนี้ได้เมื่อไหร่นี่ ไอ้ที่ห่อหุ้มนี่มันหมดกำลังไปตามลำดับเอง

คือมันจาง ...ไอ้ที่หนาแน่นมืดตึ้บเลยนี่ มันจาง ...แต่เห็นครั้งหนึ่งก็แล้ว เข้าไปถึงข้างในก็แล้ว มันก็มีแรงดึงดูดพรวดออกไป อยู่ไม่ได้ ...อนุญาตให้อยู่แค่ผู้รู้ ผู้เห็น

เพื่ออะไร ...เพื่อให้มึงรู้ซะ มึงเห็นซะว่าอะไรเป็นอะไร ...มันจะได้ทำให้ไอ้พวกนี้ที่ห่อหุ้มนี่ หมดกำลังไป หาความจริงจังไม่ได้ในทุกสิ่ง

ก็รวมจิตรวมใจให้เป็นหนึ่งเสมอ เหลือแค่หนึ่งเดียวคือผู้รู้ นั่นแหละจิตมันหยุดทำงาน ...เมื่อจิตมันหยุดทำงาน ก็เหมือนว่ามันกลับมาคืนสู่สภาพเป็นแค่ประตูที่ตั้งอยู่แค่นี้

ถ้าจิตทำงาน...ก็คือเหล่ามารที่ล้อมรอบนี่ มันออกไปหากิน มันกำลังจะไปลักวิ่งชิงปล้นเขา เอาบุญบ้างมาเป็นสมบัติ เอาบาปบ้างมาเป็นสมบัติ

หรือไม่ก็เดินเล่นลอยชายหาอะไรมาเป็นสมบัติ ...ไม่ได้อะไรหรอก แต่กูเหงาอ่ะ เดินไปงั้นน่ะ เดินไปเรื่อยเปื่อย ...จิตมันก็เรื่อยเปื่อยไป นั่นประมาท เผลอเพลิน เลินเล่อ

นั่งก็ใจลอย เดินก็ใจลอย กินข้าวก็ใจลอย กินไปกินมาเอาช้อนเข้าไม่ตรงปากน่ะ เคยมั้ย หรือกำลังคุยๆๆ เอาเข้าปาก เอ้า เข้าไม่ถูกปาก ...ไปถูกตรงไหน มันไปไหน

มันลอย เลื่อนลอย ร่อนเร่เลื่อนลอย นั่น ผู้รู้หาย กิเลสมาร อาสวะมันทำงานแทนใจรู้ใจเห็น ...แล้วก็เป็นทุกข์เป็นโทษทั้งสิ้น บอกแล้วมันโจร สันดานโจร โจรทั้งนั้นน่ะ

ไม่ได้ว่าใคร ตัวเองก็มี เต็มไปหมดนี่ โจร...จิตสังขารนั่นน่ะ เอะอะมะเทิ่ง ...ขนาดไม่ได้มีผัสสะภายนอกนะ มันอยู่คนเดียว มันยังขโมยออกไปจี้ไปปล้นเขาต่อหน้าต่อตากูเลย

มันหน้าด้านหน้าทนไหมนั่นน่ะ บอก..หยุดนะๆ ตำรวจมา..ไม่หยุด ดื้อขนาด ...นี่ เห็นมั้ย มันหน้าด้าน ดีไม่ดีมันยกหางให้ตัวเองอีกนะ บางทีก็เออออห่อหมกกับมันด้วยนะ

เขาเรียกว่าสมรู้ร่วมคิด ให้กูรับของโจร...นี่ คือมันขโมยมานี่ ติดสินบน มึงเอาไปเลย นี่สุข นี่ทุกข์นะ ไอ้นี่สุขมากขึ้นนะ ...ก็ เออ เหรอๆ ตามน้ำไปสิ

นี่สมรู้ร่วมคิดนะ รับสินบน รับซื้อของโจร ...ติดคุกนะ เป็นบุญเป็นบาป คือติดคุกนะ...โลกคือคุก จักรวาลนี้คือคุก แล้วไปเห็นดีเห็นงามกับมันน่ะ

แต่พอเป็นทุกข์ เอาของร้อนมาให้ แล้วดันเก็บของร้อนไว้ “เนี่ย เราไม่ได้ทำเลยอ่ะ คนนั้นน่ะมันทำ โลกมันไม่ดี ก็ฝนตกน้ำท่วมทำไม” นั่น โทษ ตำหนิไปเรื่อย

มึงนะแหละรับซื้อของโจร จะไปโทษใคร มันซ่องโจรทั้งนั้นน่ะ ...สบายดีไหมล่ะ กินดีอยู่ดีมั้ง อยู่ไปวันๆ เดี๋ยวโจรมันโตขึ้นมา ก็ออกไปหากินให้เองน่ะ

จะปราบปราม มันต้องล้างรังโจรน่ะ ...สติสมาธิปัญญาเหมือนตำรวจจับขโมย แน่ะ มันไปอีกแล้ว แน่ะอีกแระ แน่ะ ไม่ไป...จับ มันก็ไปไหนไม่ได้

พอไปไหนไม่ได้แล้วเป็นไง หือ ...มันไม่มีเสบียงกรัง มันหิว หาเงินไม่ได้ ซื้อของไม่ได้ อาหารก็ไม่มีกิน ...มันก็อ่อนระโหยโรยแรงลงไปเรื่อยๆ

ก็ไปทำมาหากินไม่ได้ มันไปหาทรัพย์สมบัติมาซื้อแลกเปลี่ยนไม่ได้แล้วนี่ ...มันก็อดๆ อยากๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เป็นง่อยเปลี้ยเสียขา งานการไม่ได้ทำ

บอกให้คิด..กูก็ไม่ยอมคิด บอกให้ไป..กูก็ไม่ไปตามมึง บอกให้กูไปหานั่นมาให้ บอกให้กูไปแสวงหานี่มา..ก็ไม่ไป ก็ไม่ทำ แล้วกูจะกินอะไรดี นั่น

เดี๋ยวกูก็ตายเองแล้ว หมดฤทธิ์หมดแรง มันก็ตาย ...มันก็อ่อนแรง หมดแรงไป มันก็คลี่คลายในตัวของมันเองไป ...แค่นั้นแหละการภาวนา อยู่ตรงเนี้ย แค่นี้แหละ

ไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย ไม่ได้อยู่ที่เมืองจีน ไม่ได้อยู่ที่ปีไหน พ.ศ.ไหน ...ไม่ได้อยู่กับเรา ไม่ได้อยู่กับหลวงปู่หลวงตา ไม่ได้อยู่ที่ไหน ...อยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้นี่เอง 

นั่น ไม่เห็นไกลเลย ...แล้วยังมาหาความก้าวหน้าตรงไหน มาถามอยู่เรื่อย “หนูก้าวหน้ารึเปล่า ผมก้าวหน้ารึเปล่า ผมดีขึ้นรึเปล่า” ...มึงจะไปไหน หือ

สันดานโจรนะนั่นน่ะที่พูดน่ะ สันดานโจรนะมึง (หัวเราะกัน)  กูไม่สนับสนุนความเป็นโจรหรอก มึงจะไปหาจี้ปล้นเขามา แล้วก็มาบอกว่าเป็นของกูๆๆ เหรอ ...ขโมย

มีอะไรเป็นของมึง หือ ตั้งแต่หัวยันตีน ใช่ไหม ...เอ้า ก็ตายแล้วเอาไปสิ ถ้าว่าของเราน่ะ  ทำไมฝากไว้อยู่ในผอบ กระบอก สถูป ...ดูดิ มาบอกว่าของเรากายเรา ขโมยเขาหน้าด้านๆ เลยนี่

ก็ไม่เห็นเอาไปได้สักอย่าง...ลูกของเรา แม่ของเรา พ่อของเรา หมาของเรา บ้านของเรา รถของเรา ...เอาไปดิ ของเราจริงเอาไปดิ มาฝากคนอื่นเขาไว้ทำไม

เห็นมั้ย ใจมันขโมยอ่ะ ขโมยทุกอย่างที่อยู่ตรงนี้ ...ก็เขาตั้งอยู่บ่ดาย ก็ว่าจีวรของเราอีกน่ะ เอ้า เฮ้ย มาถวายเราอีกน่ะ  จีวรตั้งอยู่ ไม่ใช่ของเรา ก็ของมันตั้งอยู่

ถามก็ไม่ได้บอกว่าเป็นใครของใคร นี่ ใจมันเห็นน่ะ ...เพราะนั้น ถ้ามันเป็นของที่ตั้งอยู่ มองเห็นไม่รู้ของใคร เดี๋ยวโยมก็เอากลับไปเลย ไม่ทุกข์ ใช่ไหม

พอตาย เอ้า ใครตายวะนี่ ไม่มีใครตาย มีแต่ก้อนอะไรไม่รู้กำลังแตก น้ำมันกำลังกระจาย อุณหภูมิมันกำลังเปลี่ยนแปลง เออ มีใครตาย มีใครแตก มีใครดับ...ไม่มี

คือมันไม่มีใครตั้งแต่เกิดแล้ว อย่าว่าแต่ตายเลย  ไม่มีใครนั่ง ไม่มีใครไป ไม่มีใครมา ไม่มีใครอยู่ สุดท้ายไม่มีใครตาย ...มีแต่ก้อนอะไรก็ไม่รู้ ที่ยืมเขามา ทำสัญญาชั่วคราว เขากำลังเอาคืนอยู่

เพราะนั้นเวลาเอาคืนนี่ ...ธาตุเวลามันแตก ธาตมันกำลังสลายนี่ โดยเหตุโดยผล โดยเหตุและปัจจัย ...มันจะเกิดภาวะหนึ่งที่เรียกว่าเวทนา ในขณะที่ธาตุมันแยก

ก็เสือกไปเอาเขามารวมกันทำไม จะโทษใคร ...จริงๆ มันไม่ได้เป็นหน้าตารูปร่างสีสันอย่างนี้หรอก ไปรวม พั้บ ด้วยวิบาก ด้วยอำนาจราคะตัณหา หลงใหลได้ปลื้มกรรมวิบาก

พอเวลามันจะคืนเดิม ทุกขเวทนาแสนสาหัสจะเกิดในภาวะนั้น...ทนได้ไหม รับได้ไหม ...หรือมองเห็นเป็นแค่ ฮื่อ ของสิ่งหนึ่ง กำลังทำอาการหนึ่ง เพื่อไปสู่อาการหนึ่ง

นี่ ด้วยใจที่ตั้งมั่นเป็นกลาง ไม่มีใครเป็น ไม่มีใครไป ไม่มีใครมา ไม่ได้เป็นเรื่องของใคร ...นี่ ภาวนามา ฝึกมาก็เพื่อการนี้แหละ...ให้รู้อยู่เห็นอยู่

มีพระอยู่องค์หนึ่ง ลูกศิษย์หลวงปู่น่ะ อายุมากกว่าเรา แต่พรรษาน้อยกว่าเรา ทันกันตั้งแต่หลวงปู่ยังอยู่ หลวงปู่ตายก็ไป ก็ไม่ค่อยได้เจอะเจออะไรกัน แต่ก็นับถือ มันนับถือเรามาก่อน

คือสองอาทิตย์มานี่มันก็โทรมา แต่ไม่ใช่ตัวมันโทร คนที่อยู่ด้วยกันโทร เป็นพระที่เคยอยู่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่เหมือนกัน ก็ว่า “อาจารย์เทศน์หน่อย เทศน์ให้มันฟังหน่อย”

คือประเภทว่าเป็นมะเร็งที่สมองขั้นสุดท้าย หัวใจตีบ ความดันหัวใจสูงจนเส้นเลือดนี่แตกเปราะ เส้นเลือดใหญ่ที่ขานี่ ลงไปจากเอวนี่ ใช้พลาสติกเป็นท่อแทน เพราะมันแตกหมด อยู่อย่างนั้นน่ะ

นึกถึง ระลึกถึง ก็ให้คนโทรมา ขอฟังหน่อย ...คือมันตอบโต้อะไรไม่ได้หรอก แต่รู้ตัว ...ถามว่ารู้ตัวไหม คนทางนั้นบอกว่ารู้ พยักหน้าหงึกหงักๆ ก็เปิดเสียงลำโพงโทรศัพท์ให้ฟัง

คำพูดแรกที่เราพูดบอกไป ก็คือบอกว่า...“ตายแน่”


(ต่อแทร็ก 6/27  ช่วง 2)


 

แทร็ก 6/26 (3)


พระอาจารย์
6/26 (550106D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 มกราคม 2555
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/26  ช่วง 2


พระอาจารย์ –  เวลาเจริญสติสมาธิปัญญาแรกๆ เลย จึงเป็นของน่าเบื่อ ...มันต้องอดทนอดกลั้น มันต้องใช้กำลัง ต้องมีประเภทคอยไซโคสนับสนุนอยู่เสมอ ไม่งั้นให้มันทำเอง มันไม่มีทางหรอก

ทำไปๆ เดี๋ยวก็หมดกำลังขึ้นมา ครูบาอาจารย์ก็ต้องคอยบอก “ทำไปเถอะ ทำไปเยอะๆ” นี่ ต้องมีนักจิตวิทยาคอยไซโคอยู่ข้างๆ ...ทำไปเหอะ สักวันนึง เดี๋ยวมันก็ได้ 

นั่น มันก็ฮึดสู้ขึ้นมา แล้วจนกว่ามันจะเห็นผลด้วยตัวของมันเองว่า...เออ เฮ้ย กูเริ่มเดินตรงทางแล้ว ทำไมแต่ก่อนกูจะไปตรงนี้ มันลงถนนอยู่ตลอดเลย มันเป๋ไปเป๋มา

เข้าใจมั้ย มันก็ล้มมั่ง ลุกมั่ง ชนเขา ไปเหยียบหัวแม่ตีนเขามั่ง โดนเขาเตะกลับมั่ง โซเซน่ะ ก็คนเมาเดินน่ะ ...นี่ พอมันเริ่มไม่กินเหล้า มันก็เริ่ม...อือ ตื่นน่ะ จิตตื่น

ตื่นรู้ตื่นเห็น มันก็สร่างเมาในระหว่างที่มันตื่น ไม่ใช่แฮงก์ตลอดวัน ...ถ้ามันแฮงก์ตลอดวันเดี๋ยวก็มีเรื่องชกต่อยกันไป คนเมาน่ะมันไปไหนตรงทางบ้างล่ะ มัวเมา  จิตมัวเมา

พอมันตื่น พอมันเริ่มเห็นผล ...เออ เฮ้ย พอเริ่มตื่นแล้วรู้สึกอะไรมันลงล็อกลงร่อง แล้วมันมีเรื่องมีราวน้อยลง มันสบายขึ้น มันไม่ค่อยมีธุระปัญหาอะไรกับอะไร 

ทีนี้มันก็เริ่มตั้งอกตั้งใจ ขยัน ละเอง เลิกเองได้ ...นี่ ครูบาอาจารย์ก็เป็นยันต์กันผี คือเอาไว้สอบถามสอบทาน เอาไว้ยืนยัน ...เออ ดีแล้ว ถูกแล้ว ใช่แล้ว เอาเลยลูกพ่อ (หัวเราะกัน) 

เชียร์ กองเชียร์ ...ครูบาอาจารย์เป็นแค่กองเชียร์นะ เป็นผู้แนะ เป็นเทรนเนอร์เท่านั้นนะ ...ไม่ใช่นักชกนะ ช่วยไม่ได้


โยม –  นักกีฬาเขาชนะตรงที่กองเชียร์ดีนี่นะคะ

พระอาจารย์ –  ก็ไม่แน่นะ บางทีมันก็บ้ากองเชียร์ ติดกองเชียร์ เห่อกองเชียร์ บ้ากันไป ...นักมวยมันต้องเล่นเองชกเอง เล่นจริงเจ็บจริง ไม่มีตัวแทน ไม่มีแตนด์อิน

เพราะนั้นจึงย้ำจึงเตือนอยู่นี่ว่า...อะไรที่เป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ ...แล้วก็อะไรที่เป็นมิจฉา

เพราะฉะนั้น การเคลื่อนไหว การยกมือยกไม้ เราไม่ว่า  มันก็เหมือนการภาวนาพุทโธ มันก็เหมือนกับกำหนดลมหายใจ มันไม่ต่างกันหรอก

แต่ว่าจุดเป้าหมายจริงๆ คืออะไร...คือจิตรู้จิตตื่น ...ทั้งหมด การภาวนาทั้งหมดน่ะ เพื่อกลับสู่จิตรู้ จิตตื่น ถ้าไม่เข้าใจหลัก ถ้าไม่ยึดหลัก มันก็จะเขว

เพราะมันจะมีผลข้างเคียงทางการกระทำที่แตกต่าง ...กำหนดลม กำหนดพุทโธ ก็จะได้ผลที่ต่างกัน  ยกไม้ยกมือก็ได้ผลที่ต่างกัน ยุบหนอพองหนอก็ได้ผลต่างกัน

แต่มันมีผลเดียวที่ไม่ต่างกัน จิตตื่น จิตรู้ ...ดูดีๆ เอาตัวนั้นเป็นหลัก ...นั่นแหละเรียกว่าเอาใจเป็นหลัก อย่าออกนอกหลักใจ

เพราะนั้นใจนี่ มันจะเป็นตัวคอยคัด คอยกรอง คอยเทียบเคียงว่า อะไรที่มันผิดออกไปจากใจนี่ ...อย่าเสียดาย อย่าไปบ้าบอคอแตก อย่าไปบ้าเห่อกับมัน

ความรู้ความเห็นอะไรที่เกิดมาจากการปฏิบัติน่ะ รูปนั่นนามนี่ เห็นนั่นเห็นนี่ ความจริงอย่างนั้น ความจริงอย่างนี้ เป็นความคิดความปรุงอะไรขึ้นมา เป็นภาพเป็นแสงเป็นสี สามมิติ ห้ามิติอะไร ก็บ้ากันไป

อย่าไปบ้าเห่อกับมัน อารมณ์ที่เกิดขึ้น ผุดโผล่ขึ้นในการภาวนา ซึ่งส่วนมากก็เป็นกุศล เป็นผลจากกุศล อารมณ์กุศล อารมณ์ดี ปีติ เบา โปร่ง โล่ง สบาย อะไรก็ตาม

ตื่นไว้ อยู่กับหลัก รู้ตื่นไว้ แน่ะ ต้องตั้งให้มั่น สมาธิต้องมั่น สัมมาสมาธิต้องคง ต้องมั่นคง ...ไม่อย่างนั้นมันจะหลงใหลไปกับอาการโดยไม่รู้ตัว

มั่นคงตรงแล้ว...ก็ไม่ใช่ไปนอนตายอยู่กับรู้ ไม่ได้นอนตายอยู่กับตื่นอย่างเดียว  ให้มันออกมาเห็นอาการโดยรวมโดยรอบ หรืออาการที่อยู่ต่อหน้ามัน ไม่ต้องไกลหรอก...แค่กว้างคืบยาววาหนาศอก

ถือกายนี้เป็นปริมณฑล ถือกายนี้เป็นวัด โดยมีผืนหนังเป็นพัทธสีมา เป็นขอบเขต ขอบขันธสีมา มีกระดูกเป็นเสาโบสถ์ ...นั่น เอากายเป็นวัด เอาใจเป็นนักบวช ใจรู้นะ

อย่าธุดงค์ อย่าออกธุดงค์มาก ไปเรื่อย คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ ไหลออกไปนอกปัจจุบัน นอกเหตุการณ์ปัจจุบัน เรื่องราวคนนั้นคนนี้ ...นั่นน่ะจิตมันกำลังออกธุดงค์

ก็ไม่ไปอ่ะ เป็นตาขรัวเฝ้าวัดไป กลับมาดูแลวัดวาอาราม กายใจ หนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ...เออ ถ้ามันกลับมาอยู่กับกายกับใจนี่จะเป็นยังไง กลับมาอยู่ในวัดในวา ไม่ไปเที่ยวไม่ไปเตร็ดเตร่ 

มันก็เห็นว่า...อ้อ นี่มันมีหยากไย่ใยแมงมุม มันเกาะอยู่ที่เสาโบสถ์ นี่มันไม่ค่อยเลื่อมไม่ค่อยมัน  มันมีตะไคร่เกาะกุม ไม่เห็นรูปร่างแท้จริงเลยว่ามันเป็นหลังคาหรือว่ามันเป็นตะไคร่น้ำกันแน่วะ

มันก็ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถู จนเห็นถาวรวัตถุ ที่สมควรจะเป็นถาวรวัตถุจริงๆ ...ไม่ใช่มีแต่กาฝากมาเกาะเต็มไปหมด พื้นก็มีแต่ขี้ฝุ่นขี้ตะไคร่ จนไม่เห็นว่าเขาปูกระเบื้องนะนี่ มันไม่ใช่ขี้ดิน

ก็ถ้ามันไม่อยู่วัดเลย มันจะสังเกตเห็นไหมล่ะ ...มัวแต่ตะลอนๆ จะไปธุดงค์หาอรรถหาธรรม ในขุนเขาป่าใหญ่ไพรกว้าง เงื้อมป่าเงื้อมเขา ที่ที่เขาว่าดี ที่ที่เขาว่าเห็นธรรมได้ง่าย

นั่น วัดก็ทิ้งให้เป็นวัดร้างซะอย่างนั้น พระก็ไม่อยู่ มีแต่โจร ...ถ้าพระไม่อยู่แล้ววัดก็กลายเป็นซ่องโจร ที่สุมหัวรวมตัวกันของเหล่ามิจฉาชีพ ออกไปจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาครอบครอง

จิตสังขารนั่นน่ะทำงาน ไปปล้นไปชิงเขามา...ให้ได้เกิดความสุขความทุกข์เป็นสมบัติ แล้วก็มานั่งยิ้มกริ่มอยู่ ...พอเจ้าอาวาสกลับมาวัด เอ๊ ไปได้ของอย่างนี้มายังไง ใครเอามาให้

ก็โจรมันมานี่ มันก็เหมือนกับชาวบ้านทำบุญใส่บาตร ...ที่จริงมันเป็นโจร พอหลวงตาออกนอกวัด กูก็ครอบครองวัดซะเลย เอาวัดเป็นศูนย์บัญชาการซะ

ทำกายสกปรก จิตสกปรก ธรรมสกปรก ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมที่เป็นผิด ...หลวงตากลับมาก็ดีอกดีใจ เอ๊ะ ทำไมมีน้ำมีข้าวอยู่เต็มบาตร สุขดีสบายดี เออ ไม่รู้ที่มาที่ไป

มันของขโมยมา รับซื้อของโจร รับกินของโจร มันเป็นกรรมไหมนี่  ไปก่อทุกข์ก่อโทษภายนอกโดยไม่รู้ตัว กลับมานั่งกินหน้าตาเฉยเลยนะ เฮ้ย มันสมรู้ร่วมคิดกับโจรรึเปล่า

เนี่ย เลยติดคุกซะอย่างงั้น หลวงตาเลยโดยจับติดคุกซะ...ทุกชาติไป  มาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในคุก คือโลก...คุกใบใหญ่  มีคุกเล็ก...คือกายคือวัดนี่ 

ก็ให้กลับมาดูแลวัดใหม่ เป็นการทำโทษ ...แต่พอได้ดูแลวัดใหม่ ก็หนีธุดงค์อีกแล้ว ...จะไปหาธรรม...เหมือนเดิม ต่อเนื่อง ซ้ำซาก วนเวียน

เมื่อใด วันใด เวลาใด ชาติใด...กายใจตรงกันพอดี มีผู้รู้ผู้เห็น ดูแลรักษาวัดวาอารามขอบขันธสีมา ไม่เที่ยวไปเที่ยวมาในสามโลก ...มันก็จะเป็นการชำระขัดเกลาอาสนะที่อยู่อาศัย คือกาย คือจิต คือขันธ์

ตาหูจมูกลิ้นก็ถูกล้างออก ขี้หูจะได้ออกซะบ้าง ขี้ตาจะได้ออกไป จะได้แจ่มชัด  ขี้หูออกไปจะได้ยินเสียงชัดเจนว่า มันไม่ใช่ชาย มันไม่ใช่หญิง  มันเป็นลมมากระทบกับแก้วหู บึ้บๆๆ

ดีก็ไม่ใช่ ร้ายก็ไม่ใช่ คุณก็ไม่ใช่ โทษก็ไม่ใช่ ชมก็ไม่ใช่ ด่าก็ไม่ใช่  เป็นแค่เสียงกระทบกันบึ้งๆๆ แล้วก็ดับไปวูบๆๆ ...นั่น ชำระตะไคร่ กาฝาก คือความเห็นผิดต่างๆ นานา

มันมาปกคลุมจนมองไม่เห็นเลยว่า เฮ้ยนี่มันโบสถ์หรือวะ เอ๊ะนี่มันวัดหรือ นี่เสาปูน หรือเสาไม้ หรือเสาเหล็กวะนี่ มองไม่เห็นว่าอะไรเป็นเสา เสามันมาจากไหน เสาที่แท้จริงคืออะไร

อยู่ไปอยู่มา ไม่มีอะไรทำ มันก็ต้องชำระวัดปัดกวาดไปในตัว  มันก็...เออ มันไม่ใช่ตะไคร่นี่ เสานี้ไม่ได้เกิดจากตะไคร่นะนี่ ปูน เออ ปูน นึกว่าเป็นตะไคร่ซะหลายชาติเลยว่ะนี่

ก็หลวงตาเล่นธุดงค์ทุกชาติน่ะ ไม่ธุดงค์ก็ไปเข้าบ่อน เอ้า ถ้าเป็นนักปฏิบัติก็ไปธุดงค์ ถ้าเป็นคนในโลกก็ไปเข้าบ่อนเข้าโป เล่นหวยเล่นเบอร์เสี่ยงโชคลาภ

ทุกอย่างล้วนเป็นเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานอาชีพ ...มันอยู่ด้วยความเสี่ยง มันจะไม่เรียกว่าบ่อนยังไง เดี๋ยวก็ตาดีได้ ตาร้ายถูก เอาแน่ไม่ได้นะ บ่อนนะ นั่นมันก็คิดว่าเป็นอาชีพของมัน

เอ้า พอหันเหมาจะมุ่งสู่ธรรม ก็ออกธุดงค์ซะเลย แน่ะ ทิ้งวัดซะอย่างนั้น ...ก็ไม่ไป อยู่ทำความสะอาด เอาจนมันเอี่ยมเรี่ยมเร้เรไร ขัดสีฉวีวรรณ จนปริสุทธิ กายวิสุทธิ จิตวิสุทธิ 

ธาตุกลายเป็นวิสุทธิธาตุ ใจกลายเป็นวิสุทธิจิต วิสุทธิใจ วิสุทธิธรรมน่ะ  มีหรือมันจะไม่ผ่องใสขึ้นมา วัดวาศาสนานี่ นี่ หัดสร้างพระสงฆ์ซะบ้าง หัดสร้างพระสงฆ์ที่ดี

ถ้าแต่ละดวงจิต ขันธ์แต่ละขันธ์ มีวัดสร้างวัด แล้วมีพระเป็นสงฆ์ดูแลรักษาขัดเกลา อูย โลกนี้ไม่มีคำว่าเบียดเบียนกันเลย ...แต่ไอ้นี่เล่นไปสร้างนอกวัดน่ะ มันเลยไปติดไปข้องกับวัดภายนอก

แต่ถ้าทุกคนตั้งอกตั้งใจอยู่ในวัด สร้างวัด ดูแลวัด รักษาวัด ...ทุกคนน่ะเป็นเจ้าอาวาส ทุกคนน่ะเป็นพระ ทุกดวงใจนั่นน่ะ เป็นพระที่จับโกนหัวบวชหมด ไม่บวชก็ต้องบวช

ถ้ามันไม่ไปไหนน่ะ พอมันจะยืดยาวออกมาเป็นผมเป็นขน โกนซะ ปลงมันซะ ตัดมันซะ ให้มันเหลือแค่รู้ ให้มันอยู่แค่รู้ นั่นน่ะ หัวโล้นๆ นั่นแหละสมณะ ...นั่นแหละพระ ใจเป็นพระ ใจไม่เป็นมาร

พากเพียรดูแลกายใจนี่แหละ พากเพียรที่จะรู้กายรู้ใจนี่แหละ ...อย่าเที่ยว อย่าหนี อย่าไปหาอะไร ที่นอกเหนือจากนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนนี้ เวลานี้

เพราะนั้นสตินี่ เห็นมั้ย ถ้ามีสติตรงไหนนี่ มันไม่มีเวลานะ ใจก็เกิดขึ้นตรงนั้นเลย ...ถึงเรียกว่าใจนี่เป็นอกาลิกจิต อกาลิกธรรม ไม่ขึ้นกับกาลเวลา สถานที่ บุคคล

ตรงไหนก็มี ...ถ้ามีสติ ใจก็อยู่ตรงนั้น ตรงที่รู้น่ะ ตรงที่รู้ว่าอะไร ...แล้วก็ให้อยู่ตรงใจนั้น อยู่ตรงรู้นั้น นั่น ก็เพียรลงไปด้วยศีลสติสมาธิปัญญา จนเต็มรอบอยู่ในนั้นน่ะ 

มันเป็นการชำระขัดเกลาตัวเองไปในตัว ...มันไม่มีใครมาขัดเกลาให้หรอก มันขัดเกลาในตัวของมันเอง ...ก็มันไม่รู้จะเห็นอะไร มันก็ต้องเห็นกายนี่แหละ 

ถ้ามันไม่ออกไปรู้ที่อื่น มันก็เห็นแค่ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก มันไม่ออกไปเห็นอะไรหรอก มันไม่อยากไปเห็นอะไร มันก็ไม่ไปไหน มันก็เห็นแค่ลมเกิดลมดับๆ 

นี่ ลมเข้าเกิดลมออกดับ ลมเข้าดับลมออกเกิด สลับกันไป แล้วลมเป็นสัตว์ไหม ลมเป็นบุคคลไหม ลมเป็นชายไหม ลมเป็นหญิงไหม ...นี่ เขาแสดงอยู่ทนโท่ โต้งๆ ตรงๆ 

ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมอะไร ไม่ต้องพิจารณาเป็นคำพูดความหมายอะไร ...ก็เห็นอยู่ตรงๆ ว่าลมเป็นลม ไม่ได้เป็นเราน่ะ ไม่ได้แสดงอาการหนึ่งใดเลยว่าเป็นของเรา ก็เป็นลมเข้ากับลมออก

จริงๆ ดูไปดูมา เอ้า ลมก็ไม่เข้า ลมก็ไม่ออก ไม่มีเข้า-ไม่มีออก ...ดูไปดูมา รู้ไปรู้มา ไม่เห็นเป็นลม ไม่รู้ว่านี่เป็นลม ...เป็นอะไรๆ อย่างหนึ่ง หาที่ตั้งไม่ได้ ไม่มีที่ตั้ง วูบๆ วาบๆ วืดๆๆ นั่น

เพราะมันเห็นอย่างนี้แล้วสบายดี ไม่สุขไม่ทุกข์ ...ไม่ใช่เป็นสุขขึ้นนะ สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มีอ่ะ  แต่มันสบายดี สบายใจ ใจสบาย ใจเป็นอิสระ ใจเป็นกลาง ใจไม่แกว่ง ใจมันรู้สึกพอดี

มันพอดี มันเต็ม มันรู้สึกว่าเต็ม ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่เหลือ  มันเต็มพอดีเลย จิตมันเต็ม แต่ถ้านอกจากตรงนี้ มันรู้สึกไม่เต็ม มันไม่อิ่ม มันไม่พอดี ...ดูเอา ศึกษาเอา สำเหนียกเอา

เอ้า พอ ค่ำแล้ว เดี๋ยวจะไปสาย กลับสายกลับมืด ...หูตาก็ไม่ดี ตาในก็ไม่ดี ตานอกก็ไม่ดี สองตาต่างก็ไม่ดี เบลอกันไปหมด ...แต่อย่างน้อยตานอกไม่ดี ตาในดีไว้...ดีหมด นี่


(ต่อแทร็ก 6/27)