พระอาจารย์
6/16 (550101E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มกราคม 2555
พระอาจารย์ – ธรรมมีอันเดียว ...ธรรมอันเดียว
ฟังครูบาอาจารย์เทศน์น่ะมันไกล ต้องถ่อร่างสังขารไปฟัง ... ฟังธรรม ตัวเองน่ะแสดงธรรมอยู่ทั้งวัน
ทำไมไม่ฟัง ทำไมไม่ดู...มันเมื่อย มันปวด มันหิว มันร้อน มันแข็ง ...นี่ มันแสดงธรรม
มันแสดงธรรม ...เทศน์ตั้งแต่ตื่นยันหลับ นี่ อาจารย์ใหญ่ ...เรานี่อาจารย์รองนะ
ครูบาอาจารย์นี่เป็นอาจารย์รองทั้งนั้น
อาจารย์ใหญ่นี่...กายใจ...นี่อาจารย์ใหญ่ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันสอนอยู่ตลอดนี่
ดื้ออออ จริงๆ ไม่ฟังอาจารย์สอน เอาชนะ ต่อต้าน
เถียงอาจารย์ตลอด อาจารย์เขามาอย่างนี้ ก็ว่า...ทำไมอาจารย์มาอย่างนี้ล่ะ
ผมว่าอย่างนี้น่าจะดีกว่ามั้ง ...นี่เถียงนะ เถียง บังอาจเถียง
เถียงธรรมชาติได้ยังไง ฮึ ธรรมชาติของขันธ์น่ะ ใครมันจะใหญ่เกินธรรม ... "ดิฉันไง
เราไง ผมไง" ใหญ่กว่าทั้งนั้นเลย
นั่นน่ะตัวมันใหญ่ กิเลสมันตัวเท่าหม้อแกง ธรรมมันตัวนิดนึง ...มันข่มธรรมกันหมด
กายเป็นธรรม จิตเป็นธรรม กายเป็นอาจารย์
จิตเป็นอาจารย์ เขาบอก เขาสอน เขาแสดงธรรมตามความเป็นจริงอยู่เสมอ ...แต่เราน่ะคอยไปบิดเบือนธรรม ต่อต้านธรรม ลบหลู่ธรรม
เข้าใจคำว่าลบหลู่ธรรมมั้ย ...ไม่เคารพธรรม
แข็งขืน ดื้อดึง แอบอ้าง อวดอ้างกับธรรม ... สุดท้ายธรรมตลบหลังเอาคืนหมด...ตาย ต้องตาย
จึงมาค่อยยอมรับว่า...เออ เฮ้ย หนีความตายไม่พ้นจริงๆ ว่ะ
ธรรมเป็นใหญ่จริงๆ ธรรมนี้จริง ไม่โกหก ... แต่ระหว่างอยู่นี่เราหาว่ามันโกหก เราทำได้
เราแก้ได้ เราหนีได้ เราไม่ทำอย่างนั้น
เดี๋ยวเราทำอย่างนี้ เดี๋ยวให้มันเกิดอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ... นี่ เถียงคำไม่ตกฟาก
ถ้าเราอ่อนน้อมต่อธรรม เคารพธรรม ... มันเคารพนะ มันอยู่ด้วยความเคารพ เคารพกายใจตัวเองนี่แหละ ...เคารพกายใจที่เขาแสดงความจริง
ปวดเป็นปวด เมื่อยเป็นเมื่อย หิวเป็นหิว
ร้อนเป็นร้อน อ่อนเป็นอ่อน แข็งเป็นแข็ง คิดเป็นคิด ปรุงเป็นปรุง ยึดเป็นยึด
ถือเป็นถือ เสียใจเป็นเสียใจ
เขาแสดงยังไงยังงั้น
เขาแสดงธรรมอยู่ ... ก็เคารพ รับรู้
รับทราบ ด้วยความเคารพ สงบ นิ่งอยู่ ...คารวะธรรมนั้นด้วยสติ สมาธิ ปัญญา
เดี๋ยวเข้าใจเองแหละว่าอาจารย์เขาสอนอะไร ...สอนตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด
เบื้องต้นตั้งแต่สมมติบัญญัติ ที่สุดจนถึงปรมัตถ์ ที่สุดของที่สุด...อนัตตา ...เรียนรู้จากกายใจนี่แหละ
ไม่ได้เรียนรู้จากเราหรือใคร ...ถ้าไม่มีกายใจ ถ้าไม่รู้กาย ถ้าไม่รู้ใจ
ถ้าไม่เห็นใจ ถ้าไม่สังเกต ถ้าไม่เข้าใจกายใจ...ไม่มีทาง ...จะไปเข้าใจธรรมอะไรมากมายมหาศาลก็ตาม
ถ้าไม่เข้าใจกายใจนี้...ไม่มีทาง
นี่จะไม่เรียกว่ากายใจนี้เป็นอาจารย์ แล้วจะเรียกเป็นคนใช้รึไง ... มันมองเห็นกายใจเป็นคนใช้
แล้วมันเป็นเจ้านาย ตัวเราเป็นเจ้านาย ข่มเหงรังแกมัน พยายามจะอยู่เหนือมัน
ถ้าเคารพกันแล้ว...สันติ อาจารย์เขาก็จะสอนโดยภาวะที่เรียกว่า
ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมว่า...ใครว่ามึงนั่ง ใครว่านั่ง ไม่มีใครนั่ง ไม่มีอะไรนั่ง ...มีแต่แข็งกระทบแข็ง ใช่ป่าว
จริงๆ
แล้วมันเป็นแค่นั้นจริงๆ นะ เป็นแข็งกระทบแข็ง ... ไอ้คำว่าแข็งกระทบแข็งนี่ยังเป็นภาษาอยู่นะ แต่ความรู้สึกจริงๆ
มันเป็นคล้ายๆ อย่างนั้น
โยม – มันเป็นแค่สภาวะใช่ไหม
พระอาจารย์ – จริงๆ แล้ว มันก็คือ...ถ้าพูดโดยหยาบๆ ลงมานี่ก็เรียกว่าเป็นสภาวธรรม เป็นสภาวะธาตุสภาวธรรม
แต่ถ้าโดยความเป็นจริง มันไม่เป็นทั้งสภาวะธาตุ
มันไม่เป็นทั้งสภาวธรรมใดเลย ...นั่นขั้นปรมัตถ์...ขั้นสูงสุด ขั้นอนัตตา ...จะไม่มีคำว่าตัวตน เรียกว่าเป็นตัวตนใดตัวตนหนึ่ง ในตัวของมันเอง
เนี่ย อาจารย์ทั้งนั้นน่ะ...สอนเรา ...ถ้าเราเคารพ นอบน้อม สงบ สันติ ดู สังเกต ยอมรับ ตามธรรมที่ปรากฏ
จะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นไปตามลำดับ
แต่ถ้าเราดื้อดึง
ดื้อด้าน หรือว่าเถลเถไถ มัวแต่เที่ยว มัวแต่เตร่ส่งจิตไปไกลออกนอกกายใจ
มันก็เหมือนเด็กหนีเรียนน่ะ หนีเรียนไม่พอนะ อยากได้ปริญญาเอกอีก มันจะได้มั้ยล่ะนั่น...ไม่มีทางอ่ะ
ติดสินบนก็ไม่ได้นะธรรมอันเนี้ย
ความรู้ในธรรมนี่ อ้อนวอนร้องขอไม่ได้ ...ยังไงคุณต้องเข้าห้องเรียน ต้องฟังเล็กเชอร์
ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง อาจารย์เขาไม่เบื่อหน่ายเลยนะในการสอน เพราะเขาไม่มีเงินเดือน
แต่เรานี่เหนื่อย ยังเหนื่อยอยู่นะ...คนสอนข้างนอกนี่มีเหนื่อย มีเมื่อย มีหิว มีเป็นมีตายอยู่นะ ...แต่อาจารย์ของใครของมันนี่ไม่เหนื่อยนะ
เขาแสดงเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า หลับยังฝันให้เลย สอนอีกต่างหากในความฝัน เอ้า
นั่นเคารพไว้
นอบน้อมในธรรม เคารพในธรรม สำเหนียกในธรรม...อยู่ติดเนื้อติดตัวทุกคน กายใจคือมรรค เป็นมรรค ...ถ้าออกนอกกายใจ
เบื้องต้นเลยก็คือออกนอกมรรค
แล้วมันจะแยบคายๆๆ ลงมาเรื่อยๆ
มันสงเคราะห์ลงแค่นั้นแหละ...กายใจ
แล้วก็จากกายใจก็เหลือแค่สิ่งที่ถูกรู้กับรู้ จากสิ่งที่ถูกรู้กับรู้ สุดท้ายก็เหลือ...ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ถูกรู้
ไม่มีอะไรเป็นผู้รู้ ...ก็แค่นั้น
มันก็อยู่แค่นี้ ...ไม่ใช่ว่าไปไขว่คว้าหาอะไรกันในโพ้นนู่น
หรือไปตามหาในตำราอะไร
การปฏิบัติจริงๆ นี่ ... ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยอ่านหนังสือตำรับตำรามาเลยนี่ แล้วมีความมุ่งมั่นใส่ใจ แล้วก็เปิดรับนี่ ...มาฟังที่พูดแล้วนี่ ปุ๊บ ง่ายมากนะ ...ยิ่งโง่เท่าไหร่ ยิ่งรู้ในธรรมน้อยเท่าไหร่ยิ่งฉลาดมากในการปฏิบัติ
ส่วนพวกที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ
ผ่านครูบาอาจารย์มาเยอะ ... ไอ้พวกนี้ล่ะหัวดื้ออออ ดื้อๆๆๆ ...ติดความคิดความเห็น
เหมือนเป็นยันต์กันผีน่ะ
เอาความคิดตัวเองเป็นเกราะ เอาความเห็นของคนอื่นเป็นเกราะ
เอาความเห็นคำพูดของครูบาอาจารย์เป็นเกราะ ...มันเลยปิดบังธรรม ให้คลาดเคลื่อน
กลายเป็นว่าธรรมของครูบาอาจารย์มาทำให้ธรรมของตัวเองคลาดเคลื่อน ...กลัวไปหมด กลัวผิดไปหมด
ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ กลายเป็นผู้ปฏิบัติที่กล้าๆ กลัวๆ จดๆ จ้องๆ
แต่ไอ้ประเภทไม่เคยปฏิบัติอะไรเลย พอบอกให้รู้ไปๆ อย่างเดียว มันแบบ...มันไม่สนใจอะไรเลย บอกให้รู้อย่างเดียว
ก็รู้อย่างเดียวๆ ...อ้าว เฮ้ย นิพพานแล้วเหรอวะ ... นั่น มันเป็นยังงั้น
ทำไมมันง่ายจังอ่ะ
มันง่ายเพราะอะไร ยากเพราะอะไร
ต้องแก้ตรงนั้น ...มันยากเพราะเราติดความคิด มันยากเพราะเราติดที่ความเชื่อความเห็น
มันยากที่เราติดตำรา เห็นมั้ย มันกลายเป็นตัวขวางกั้นไปแล้ว
เป็นตัวทำให้เกิดความเนิ่นช้า
สมัยพุทธกาลนะ คนมาฟังพระพุทธเจ้าเทศน์นี่เป็นพันเป็นหมื่น ไม่มีตำราหนังสือให้อ่านเลย ... เขาชวนกันมาฟัง เขาว่าพระพุทธเจ้านะเนี่ย ก็มาฟัง ... มาฟัง...ฟังก็ฟังไปอย่างนั้น
ไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อนเลย
ฟังแล้วก็พิจารณา ดูตามเห็นตาม ..เอ้า พั่บๆๆ ขาดไปเลย
ทำไมง่ายจัง ...ทำไมฟังพระพุทธเจ้านี่มันง่ายกันจัง สำเร็จทีเป็นยกกระบิเลยอ่ะ อย่างต่ำไม่ต่ำกว่าโสดา
ไอ้พวกเรานี่...ฟังกันจนหูห้อยแล้ว (โยมหัวเราะกัน)
หูนี่มันจะลากถึงพื้นแล้ว ... “อะไรเป็นรู้วะ ยังงงอยู่เลย ...ไอ้นี่ใช่รู้ป่าวนี่
ไอ้นี่เรียกว่ารู้รึเปล่า” มันคิดอยู่นั่นน่ะ
มันยากเพราะเราไปติดความรู้ความเห็น ติดความรู้คนอื่น ติดธรรมในตำรา ... เพราะนั้นตัวสมมุติ
ตัวบัญญัติเป็นตัวบัง ตัวทิฏฐิตัวความเห็นเป็นตัวบัง เป็นม่านบังตาบังใจไว้
เป็นม่านที่บัง กั้น ระหว่างธรรม...กับรู้
มันก็มาบังด้วยความคิดความเห็น
ทำให้เห็นธรรมนี่เคลื่อนไปหมด ...พอตัวความคิดความเห็นมาบังปุ๊บ
มันก็จะมีเจตนาไปตามความคิดความเห็น มันก็เกิดเป็นธรรมอันใหม่ขึ้นมา
แต่มันไม่เฉลียวใจหรอกว่าไอ้ธรรมอันใหม่ที่ขึ้นมานั้น...มันเกิดจากความปรุงแต่งขึ้นด้วยเจตนาที่เป็นกุศลและอกุศล
เป็นเจตนาที่ออกมาจากความไม่รู้ มันเป็นเจตนาที่มาจากความอยากและไม่อยาก
เพราะนั้นธรรมที่ออกมา...สังเคราะห์ขึ้นมาใหม่นี่
และที่ว่าได้ ที่ว่ามี ที่ว่าเป็น ที่ว่าเห็นน่ะ...มันปลอม ...มันก็เลยมาติดของปลอมใหม่นี่เข้าไปอีก
ทั้งที่ของจริงยังไม่รู้เลย ยังไม่เห็นเลยนะ แล้วก็ติดด้วยนะ ไม่เข้าใจด้วยนะ แล้วยังมาติดของใหม่ที่เป็นของปลอมอีก ...มันจะไม่เนิ่นช้าได้อย่างไร
ครูบาอาจารย์ถ้าท่านมีน้ำใสใจจริง
หรือว่าสอนจริงปฏิบัติจริงนะ ท่านจะต้องโขกสับ เอาไอ้นี่ออก เอาไอ้ของปลอมๆ นี่ออก ...เนี่ย มันยังไม่ยอมละกันเลย เสียดาย ...เสียดายของปลอม
คือชอบแบกหลุยส์วิตตองแถวโบ๊เบ๊น่ะ...ก็บอกว่ามันปลอม ... แต่ว่ามันเหมือนดีอ่ะ เวลาเดินแล้วคนหันมองกันน่ะ
แล้วไอ้คนเดินผ่านๆ มองก็ โอ้โห หลุยส์วิตตอง เวอร์ซาเช่ เนี่ย ไม่ยอมทิ้ง
ครูบาอาจารย์บอกมันปลอมๆ ทิ้งซะ
มันหลงของปลอมจนเข้าใจว่าจริง มันหลงถึงขนาดนั้นนะ และไม่ยอมละ ...มันจะยากขึ้นๆ
มันยากตรงนี้ มันหลงแล้วมันก็หามาสวมทรง ล้วนแต่ปลอมปนทั้งสิ้น
แล้วก็เลยเกิดภาวะที่ว่า
“หลงธรรม” และ "หลงทำ" นะ ทั้งหมดจึงเป็นเรียกว่า...สังขารธรรม มันเป็นเพียงสังขารธรรม
คือเป็นธรรมที่อาศัยความปรุงแต่งเกิดขึ้น
ไม่ใช่สังขารธรรมที่เป็นโดยนัยยะแห่งธรรม แต่เป็นสังขารธรรมที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยอำนาจของตัณหาอุปาทาน ...มันเลยไม่รู้
ไม่เข้าใจไปถึงว่าที่สุดของธรรม
แม้แต่ว่าเป็นสังขารธรรมที่เป็นโดยธรรมชาติตามความเป็นจริง
หรือสังขารธรรมที่ปลอมปนขึ้นมาก็ตาม ...ที่สุดของสังขารธรรมคือธรรมที่เกิดขึ้นด้วยความปรุงแต่งนี้คือ...มีความดับไปสิ้นไปเป็นธรรมดา ไม่ควรค่าแก่การเข้าไปถือครอง
แต่มันไม่ยอมทิ้ง ...เพราะอุตส่าห์หามาแทบตายอ่ะ
จะให้ทิ้งง่ายๆ ได้ยังไง มันเสียดายน่ะ ...เสียดายธรรม เสียดายความอิ่มเอม
ความปรีดาปราโมทย์ในธรรมที่กำลังถืออยู่อ่ะ
เวลานั่งสมาธิแล้วสงบนี่ ลองดูสิ มันพอใจอย่างมาก มันพึงพอใจ มันเปรมปรีด์ มันอิ่มเอม มันชอบ ขนาดนั้นน่ะ ...และในความชอบนั้นเราจะไม่เห็นเลยว่ามีความติดอยู่
มันไม่เห็นเลยนะว่ามีความติดข้อง...ติดความสงบเลย ....ชอบสงบนักนี่ นี่ๆๆ น่ะชอบ พอได้แล้วดีใจ พอไม่ได้เสียใจ นี่
จะบอกว่าไม่ติดได้ไง...ไม่จริงนะ
มันติดธรรมที่ปรุงแต่งขึ้นมา...ด้วยอำนาจของการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ...เพราะนั้นความสงบนี้จึงเป็นธรรมที่ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยอำนาจจากความไม่รู้เบื้องต้นนี่ล่ะ
คืออารมณ์สงบ
ถ้าจะติดน่ะ ให้ติดใจ หรือติดรู้ ...เรายังถือว่าติดรู้ ติดใจนี่ ยังดีกว่านะ ใครจะบอกว่ามันติดผู้รู้ ติดใจนี่
เราก็ยังถือว่าดีกว่าไปติดสงบนะ หรือว่าไปติดหาอะไรอยู่นะ หรือไปติดความรู้อื่นนะ
ติดรู้ติดเห็น ติดผู้รู้ผู้เห็นอยู่
หรือว่าพยายามจดจ่ออยู่ที่ผู้รู้ผู้เห็นจนกลายเป็นเพียรเพ่งอยู่ภายใน ...เราถือว่ายังมีโอกาสที่จะก้าวข้ามได้ง่ายกว่า
ครูบาอาจารย์สมัยหลวงปู่สอนนี่
ท่านไม่อธิบายอย่างนี้นะ บอกให้ ท่านก็พูดไปของท่าน แล้วก็ไปทำกัน ดวงจิตผู้รู้ ...ยืนเดินนั่งนอนอย่าออกนอกดวงจิตผู้รู้ แค่เนี้ย
ท่านไม่อธิบายอะไร
ให้ตั้งมั่นอยู่ภายในแค่นี้ ...ไม่พูดเหตุไม่บอกผลอะไร ไม่ขยายความ จะได้อะไร มีอะไร
ระหว่างดำเนินไปจะเจออะไรบ้าง จะมีอะไร แยกแยะยังไง ท่านไม่แยกให้ฟังเลยนะ
แต่ไอ้พวกเรานี่จน หั่น ซอย บด ขยำ ผสม
เจือรสปนให้ เอาไปกิน ...มันยังไม่ค่อยอยากกินเลย ไม่รู้เป็นโรคอะไร ...โรคขี้เกียจ
เสียดายความสุข เสียดายเวลาเผลอเพลิน เสียดายเวลาปล่อยปละละเลย
เสียดายเวลาทำงาน
เสียดายกลัวเสียเพื่อน เสียดายกลัวเสียหมู่คณะ เสียดายกลัวเสียรูปลักษณ์ภายนอก
เสียดายกลัวเสียความสัมผัสสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ...แน่ะ มันไปติดแค่นั้น
เอาให้มันจริงซะ ...เพราะอะไร ...เดี๋ยวก็ตายแล้ว ใกล้ตายแล้ว เวลาตายแล้ว หมดเวลาแล้วนะ เป๊ง หมดยก ทำไงล่ะ
จะอยากต่อยก็ต่อยไม่ได้แล้ว จะแพ้จะชนะไม่รู้อ่ะ เป๊ง หมดยก ไล่ลงจากเวทีแล้ว
ตอนที่อยู่บนเวที มีอะไรก็งัดออกมาใช้
ออกมาต่อยซะ วิชาความรู้อะไรที่จะใช้ ...เขาให้อยู่ได้แค่สามยกห้ายกเท่านั้นนะ มันไม่แน่ด้วยนะ ... พอหมดระฆังเมื่อไหร่ปุ๊บ อย่ามาเสียดายนะ
"แหม เมื่อกี้น่าจะยังงั้น
อาจารย์สอนมายังงี้ ...แหม อาจารย์พูดอยู่แล้ว ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แม๊ เราน่าจะยังงั้น" ... มันไม่ทันแล้วหนา ไอ้เวลาเขาให้ชกน่ะ...มัวแต่รำลิเกอยู่นั่นน่ะ ออกแขก
ไหว้ครู (หัวเราะกัน)
ชกก็ไม่ชก ต่อยก็ไม่ต่อย ได้แต่ไอ้ท่าทางรำ... "ไหว้ครูก่อนครับ ไหว้ครูก่อนค่ะ
เดี๋ยวของไม่ขึ้นไม่ขลัง" เอ้า...เป๊ง หมดยก ..."อ้าว ยังไม่ทันจะเริ่ม ...แม๊
เสียดายจัง" ไอ้วิธีการกลเม็ดในการต่อสู้...ไม่ได้ใช้ มัวแต่ไหว้ครู
แล้วจะเสียดาย ...ใกล้แล้ว มันคืบคลานไปทุกขณะๆ โดยลำพังของกายมันก็มีอายุ แก่ เสื่อม ตาย หมดสภาพไป โลกภายนอกก็มีอายุ เสื่อมสภาพ มีความเดือดเนื้อร้อนใจมากขึ้นๆ ตามลำดับไปเหมือนกัน
ทุกอย่างมันเร่งรัดเร่งเร้า บีบคั้นมาอยู่ตลอดเวลา ประมาทไม่ได้
เลินเล่ออยู่ไม่ได้ ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง ไม่รู้ล่วงหน้าว่าวันตายของเราจะอยู่วันไหนเวลาไหน
ที่ไหน สถานที่ใด ขณะจิตใด
อาจจะเป็นขณะจิตที่เป็นบาป ขณะจิตที่เป็นอกุศล ขณะจิตที่ซึม
เบลอ ขณะจิตที่มัวเมากับอะไรอยู่ ...ใครจะไปรู้ได้ มันไม่เลือกเวลาหรอกความตายน่ะ
เพราะนั้นระหว่างที่สามารถเจริญ
รักษาใจรักษาสติไว้ ก็เอาให้เต็มที่ เต็มฐาน เต็มกำลัง ...ให้มันสมกับที่ขึ้นมาชกบนเวทีสังเวียนแล้ว ได้เกิดมาบนสังเวียนนี้...คือโลกใบนี้ ...ไม่มีโอกาสบ่อยนะ
เพราะนั้นต้องรีบเร่งขวนขวายใส่สติสมาธิปัญญากับตัวเองมากๆ
จนเอาตัวรอด จนตัวเองบอกได้ว่าเอาตัวรอด ไม่กลัวตายในระดับนึง
ไม่กลัวทุกข์ในระดับนึง ...เอาจนเรียกว่าดับทุกข์ได้ทุกขณะจิตน่ะ
ระหว่างที่อยู่อย่างนี้ เท่าทันทุกข์อุปาทาน สามารถที่จะเห็นทุกข์ รู้ทันทุกข์
เห็นทุกข์เกิด แล้วก็ดับได้ ทุกขณะ นั่นแหละ เอาตัวรอดได้ ...ถ้ายังมัวหาที่มาที่ไปของทุกข์
หาวิธีการดับทุกข์อยู่ เอาตัวรอดยังไม่ได้นะ
เพราะนั้นถ้าเบื้องต้นแล้วนี่
เห็นทุกข์เกิดเห็นทุกข์ดับ และดับได้ทันที ดับลงในที่อันเดียว
และใช้ได้ผลทุกครั้งไป ด้วยความชำนาญ ด้วยความถึงพร้อม
ด้วยความเต็มของสติสมาธิปัญญา ...นั่นเรียกว่าเอาตัวรอด
ไม่ต้องถามว่าขั้นไหน ... เพราะนั้น
สมมุติบัญญัตินี่มันเขียนกันมา ว่ากันไป แต่ถ้าในตัวของสภาวะธาตุขันธ์นั้น
ไม่มีสภาวะใดเลย เป็นจริงอย่างนั้น แต่ว่ามันเป็นจริงอย่างนั้น คือไม่รู้จะว่ายังไงดี
เมื่อใดที่ทุกข์ไม่สามารถตั้งลงที่ใจดวงนี้ได้โดยสิ้นเชิงนั่นแหละ
เรียกว่าหมดงาน มันร่อนออกไปหมด หยั่งลงไม่ถึงใจ เพราะไม่มีใจให้มันหยั่ง
ถ้ามันถึงไหน มันตั้งอยู่ได้ แปลว่าใจนั้นยังมีที่ตั้ง ใจนั้นยังมีตัวมีตน
เป็นตัวเป็นตนอยู่
ก็เพียรต่อไป จนอยู่นี่เหมือนกับอยู่ในอากาศธาตุน่ะ
ไม่มีอะไรกระทบอะไร มีเหมือนไม่มี ผ่านไปหมด ทะลุ แจ้งแทงตลอด หมด ไม่มีคา ไม่มีข้อง
หมด
ข้างนอกนี่ทะลุตลอดหมด ไม่ข้อง ไม่ไปคาอยู่แค่รูปเสียงกลิ่นรสใด
สภาวะหนึ่งที่เป็นธาตุใดๆ นามใดๆ
ภายในนี่ทะลุหมด ไม่มีค้างมีคา
ไม่มีไปหยุดอยู่ตรงไหนที่ใดเลย มันแจ้ง ทะลุหมด แทงตลอดในธรรมทั้งปวง
เรียกว่าสัพเพธัมมา
ไม่ใช่ไปติดแค่ความคิด
พอเจอความคิดก็ติดแหง็ก เจอแค่เรื่องนั้นเรื่องนี้ เวทนาความรู้สึกอย่างนี้ปั๊บ
ติดปุ๊บ แหง็กเลย มันไม่แจ้ง มันไม่ทะลุออกไป
พอไปปุ๊บติด ติดก็ข้อง
หยุดอยู่กับตรงนั้นเลย กลายเป็นเรื่อง กลายเป็นภพกางกั้น
เจอความคิดก็เหมือนกับเป็นกำแพงความคิด
เจอความสุขความทุกข์ก็เหมือนกับเป็นกำแพงที่มันตั้งอยู่
เห็นมั้ย มันชน
แล้วก็รู้สึกถูกบีบคั้นจากกำแพง มันก็เป็นความเสียดแทงอยู่ภายใน
เป็นความรู้สึกเสียดแทง จนมันทะลุทุกอย่างที่ขวางกั้น ขันธ์ทุกตัวที่ขวางกั้น
ผัสสะทุกผัสสะที่มันขวาง
ที่มันกระทบ พั่บ...ผ่านๆๆๆ เหมือนกับไม่มีตัวตน ทั้งๆ
ที่ว่ามันมีตัวตนปรากฏ แต่มันทะลุผ่านเหมือนไม่มีตัวตน
คือใจมันรับรู้รับทราบโดยที่ว่าสภาวะนี่ราบเรียบ
ฝึก...อบรมตัวเอง เอาตัวเองอบรมตัวเอง
เอากายใจตัวเองนั่นแหละเป็นเครื่องอบรม เอากายใจตัวเองเป็นเครื่องระลึกรู้
เอากายใจตัวเองเป็นตัวสอนตัวบอก อย่าห่างจากธรรม อย่าออกนอกธรรมคือกายใจ
จากนั้นไปก็กลายเป็นผู้ที่รู้ธรรมเห็นธรรมเองแหละ เพราะกายใจเป็นธรรมแล้ว
ทุกอย่างมันก็เป็นธรรม...ที่ใจดวงนี้เป็นผู้รู้ผู้เห็น มันก็รู้เห็นธรรม เป็นผู้รู้เห็นธรรมอยู่เสมอ
ไม่ใช่เป็นผู้ไขว่คว้าหาธรรม แต่เป็นผู้รู้เห็นธรรม รู้ธรรมเห็นธรรม ...ไม่ต้องไปรู้ที่ไหน กายใจนั่นแหละเป็นธรรม อะไรที่มากระทบผ่านตาผ่านหูก็เป็นธรรม ธรรมกระทบธรรม เป็นธรรมกระทบธรรม นั่นแหละ มันไม่มีอะไร
ไม่ใช่เป็นผู้ไขว่คว้าหาธรรม แต่เป็นผู้รู้เห็นธรรม รู้ธรรมเห็นธรรม ...ไม่ต้องไปรู้ที่ไหน กายใจนั่นแหละเป็นธรรม อะไรที่มากระทบผ่านตาผ่านหูก็เป็นธรรม ธรรมกระทบธรรม เป็นธรรมกระทบธรรม นั่นแหละ มันไม่มีอะไร
แต่ถ้าเป็น “เรา” กระทบธรรม
หรือเรากระทบเขา มีเรื่อง เมื่อใดที่มันแปลงสภาพ จริงๆ
สภาพความเป็นจริงน่ะมันเป็นธรรมกระทบธรรม ไม่มีเรื่อง
เอ้า เอาแล้ว พอเท่านี้ ... ใจนี่รักษาเหมือนเลี้ยงลูก รักษาใจเสมือนแม่ดูแลลูก ...ไม่ใช่เหมือนเลี้ยงหมา ถีบก็ได้ เตะก็ได้...ไม่ใช่
…………………….