วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แทร็ก 6/4




พระอาจารย์

6/4 (541211D)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

11 ธันวาคม 2554




โยม – พระอาจารย์  ถ้าขันธ์เป็นของแปรปรวน แล้วใจล่ะเจ้าคะ  สภาวะขันธ์สภาวะใจต่างกันยังไง

พระอาจารย์ – ใจไม่แปรปรวน ที่แปรปรวนคือจิต ต้องแยกให้ออก ...จิตแปรปรวน จิตสังขารน่ะแปรปรวน ... วันนี้คิดอย่าง วันนี้เห็นอย่าง วันนี้คิดอีกอย่าง วันนี้เห็นอีกอย่าง มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
 
แต่ใจรู้ใจเห็นไม่แปรปรวน ใจรู้ใจเห็นนะ...ไม่ใช่ใจคิดใจนึก ... ใจไม่ใช่คิด ใจไม่ใช่นึก อันนั้นเรียกว่าจิตสังขาร ... เพราะฉะนั้นจิตมันจะแปรปรวนไปตามขันธ์ ไปตามผัสสะ 

เพราะมันมีภาวะนึงที่เคลือบใจอยู่ คือความไม่รู้ ...เมื่อมันมากระทบมันจะผ่านภาวะเคลือบใจอยู่ที่ไม่รู้หรือมีความเห็นผิดต่างๆ นานา  มันจะตอบสนองออกด้วยอาการของจิต...บวกมั่งลบมั่ง ดีมั่งร้ายมั่ง ถูกมั่ง กังวลมั่ง  อารมณ์ต่างๆ มั่ง ...ก็ตอบสนองไป 

ทั้งที่ว่าใจเขาก็นั่งอยู่เฉยๆ ข้างในนี้ ...แต่ว่าก่อนที่จะมาถึงใจนี่มันผ่านอาสวะที่มันขวางกั้นระหว่างใจกับขันธ์  เพราะงั้นเวลาผัสสะมากระทบ แล้วใจเป็นผู้รับรู้รับทราบ ใจเป็นประธานนั่งแท่นอยู่นี่  มันมีเสนาข้าทาสบริวารที่สอพลอ ที่เป็นอคติ ที่มีโมหะคติ ภยาคติ ฉันทาคติ อยู่เต็มเลย  แล้วมันคอยเสนอหน้าแทน เป็นผู้ว่าราชการแทน

ไอ้นี่ไม่ใช่ใจ ... ใจเป็นรูปปั้น แต่ไม่ใช่รูปปั้นที่ไม่มีชีวิต เป็นรูปปั้นที่ควบคุมระบบของขันธ์ ๕ ทั้งหมด ...แต่มันเข้าไม่ถึงใจน่ะ มันผ่านเสนาอำมาตย์ชั่วร้าย ... มีความเห็นผิดปุ๊บ นี่ พวกนี้ทำงานแทนหมดเลย  เพราะฉะนั้นมันจะไปทำดีทำร้ายอะไร ผลก็อยู่ตรงนี้  ใจก็นั่ง... ดีร้ายกูไม่รู้ นั่งแท่นนั่งประธานอยู่นี่  แต่ไอ้ที่ทั้งหมดนี่...รับผลกันไป

เพราะฉะนั้นตัวจิตนี้นี่แปรปรวนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวพวกนี้เกษียณ พวกนี้มาใหม่ พวกนี้เกษียณพวกนี้มาใหม่  วันดีคืนดี...วันไหนดีล่ะ พอดีไอ้อำมาตย์คนนี้มันดี คนดีมานั่ง แล้วผัสสะนั้นมากระทบเสนาอำมาตย์ตัวนี้ มันก็ออกมาดี ...พอดีวันนั้นเสนาอำมาตย์ดีไม่มี มีเสนาอำมาตย์ชั่วร้าย มันก็ออกมาร้าย ...เอาแน่กับมันไม่ได้ อาสวะนี่...มันครอบงำใจอยู่

แต่ในขณะเดียวกันถ้าเรารู้ตรงลงที่ใจ คือรู้หมดทุกกระบวนการ แล้วมีการเห็นตัวใจอยู่ตรงนี้เสมอ มันจะให้ค่าให้ความสำคัญกับสิ่งที่จิตมันสร้าง ปรุง ให้ความเห็น ให้ความเชื่อ ให้เป็นอารมณ์กิเลสต่าง ๆ นานา น้อยลง ... จนถึงขั้นที่เรียกว่าหมดความสำคัญ หรือความเป็นตัวตนที่แท้จริง ...จริงๆ มันไม่มี .. แค่นั้นแหละ

แต่เพราะเรายังลังเลสงสัย ยังดูเหมือนมีตัวมีตนจริงๆ  เหมือนจิตเป็นเรา เราเป็นจิตอยู่ เข้าใจมั้ย  มันเลยมีความเป็นสัตว์และบุคคลที่จิต ..จึงมีคำว่า จิตเรา ตัวเราข้างใน  จิตเราก็เกิดจากการที่เข้าไปสำคัญจิตเป็นสัตว์และบุคคล เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล 

ตัวใจเป็นตัวใจที่เป็นสภาวะธาตุรู้  ไม่มีความเป็นสัตว์และเป็นบุคคล เข้าใจมั้ย ... มันจะเข้ามาไล่ลำดับญาติเข้ามาเรื่อย พอเห็นตรงนี้เป็นแค่อาการไม่ใช่ความเป็นสัตว์เป็นบุคคลปุ๊บ มันจะเห็นจิตอนัตตา

เห็นจิตเป็นอนัตตา  คือเห็นความคิด ความปรุงแต่ง เห็นสิ่งทุกอย่างที่เกิดมา ตอบสนองออกมาเป็นแค่เนี้ย (เสียงพ่นลม) ...เป็นเหมือนพ่นลมออกมา แค่นั้นเอง จะว่าอะไรดี จะเรียกอะไรดี ไม่ทันเรียก..ดับแล้ว

เพราะฉะนั้นจะมาอาศัยพวกนี้มาบงการการกระทำของกายวาจาไม่ได้แล้ว ไม่เหลือแล้ว ...จนหมดสิ้น หมดสิ้นอาการที่ตอบสนองออกมา  นั่นแหละคือการชำระอาสวะที่ห่อหุ้มใจออก ใจจึงจะหมดสิ้นซึ่งความปรุงแต่ง

เพราะนั้นอาสวะไม่ได้อยู่ข้างในใจนะ มันอยู่ข้างหน้านี่ ...เราเคยเปรียบแล้วไงว่าเหมือนกับน้ำน่ะ แล้วเอาห่อพลาสติกใสๆ มาหุ้มไว้ แล้วมันดูเป็นก้อนนึง ...ใครบอกว่ากิเลสอยู่ภายในใจ มันไม่ได้อยู่ภายในใจ แต่มันห่อหุ้มใจไว้ 

เมื่อใดที่แกะพลาสติกออก พรวด...หมดเลย รูปทรงของน้ำที่ว่านำไปใส่...ไม่มี  น้ำอยู่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีตัวตนที่ชัดเจน ไม่มีรูปลักษณ์รูปทรงที่แท้ ... หาใจไม่เจอแล้ว แต่มันมีอยู่  มีสภาวะเป็นธาตุรู้ธาตุเห็นอยู่ในความดูเหมือนว่างนั่นแหละ...แต่ไม่ใช่ว่าง

แต่ตอนนี้พวกเราอยู่กับใจที่มันห่อหุ้มด้วยอาสวะ ...อันนี้ใจของพระอนาคานะที่ว่าใจใสนี่ ... ไอ้ของพวกเราไม่ใช่เห็นพลาสติกใสอย่างงี้นี่ มันเห็นทั้งขันธ์เลยนี่ มันเห็นความคิดนี่รอบอยู่อย่างนี้ แล้วก็ไปบอกว่าความคิดนี่ของเรา อารมณ์ที่มันรอบอยู่นี่ของเรา แล้วก็บอกเนี่ยเป็นใจ นี่ใจเราเป็นอย่างนี้ ...นี่โง่เต็มๆ 

กว่าจะคัดลอกออก คัดลอกออกจนเหลือแค่ใจใสน่ะ ใจรู้เฉยๆ อยู่ภายใน ...นั่นยังห่อหุ้มด้วยอาสวะเลย เป็นใจจำเพาะกาย จำเพาะจิตนี้ ก็ยังไม่ถึงที่สุดของใจ ... ก็ค่อยๆ ลอกไปอีก แบบที่เราเคยบอกว่าลอกหัวหอมไง อยากรู้ว่าใจอยู่ไหนไปลอกหัวหอมดู

พอถึงที่สุดของเปลือกแล้วนั่นแหละ..ใจ ไม่มีอะไร ไม่มีที่ไหน ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีสัณฐาน ไม่มีประมาณ ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีรูปทรง ...หัวหอมมันเกิดมายังไงล่ะ ก็ไปหาดูดิ ...ไม่เจอ  แต่มันเกิดมาได้นะ 

นั่นแหละชีวิต มีอยู่ในสรรพสิ่ง ไม่แบ่งแยก แบ่งแยกไม่ได้ ไม่มีประมาณ ครอบสามโลกธาตุ เหนือสามภพ เรียกว่าเหนือโลก เหนือธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นธรรมที่เหนือธรรมทั้งหลายทั้งปวง

เพราะงั้นภาวะนี้ ใจดวงนี้ ลักษณะของใจเช่นนี้  คือใจนิพพาน คือใจหลุดพ้น คือใจบริสุทธิ์  คือใจที่ไม่กลับมาสู่การเวียนว่ายตายเกิด ไม่หาอะไรมาครอบ...เป็นหย่อมๆๆๆ

แต่คนที่อยู่ในหย่อมในที่ถูกอะไรครอบอยู่นี้ รูปกาย รูปสัตว์ครอบไว้นี่  เวลาตายแล้วมันยังมีความหมายมั่นในกอบกำของใจดวงนี้อยู่ ที่มันยังอดไม่ได้ที่จะไปหาดินน้ำไฟลมมาห่อหุ้ม  เพื่ออาศัยดินน้ำไฟลมนี้ ไปแสวงหาเวทนาสุขทุกข์ที่มันยังต้องการหรือไม่ต้องการต่อ 

เพราะฉะนั้นไอ้ตัวความปรารถนาที่ต้องการหรือไม่ต้องการต่อ คือไอ้ตัวที่ห่อหุ้มดวงจิตนี้แหละ ... ถ้าแก้ไม่ถูกที่ แก้ไม่ถูกจุด มันไม่มีทางสลัดออกได้ ออกจากรูปออกจากนามนี้ได้เลย

เพราะงั้นเบื้องต้นเราต้องมาสำคัญลงที่ใจก่อน แยกออกเป็นส่วนๆ กันไป ...นี่คือหน้าที่ของสติสมาธิปัญญา เพื่อให้เห็นองคาพยพของขันธ์โดยตลอด ... แล้วจากนั้นไประหว่างที่มีชีวิตอยู่ เรียนรู้วิถีแห่งขันธ์ เรียนรู้วิถีแห่งใจ เรียนรู้วิถีแห่งจิต ...ก็จะเห็นวิถีขันธ์ วิถีจิต วิถีใจ เป็นอย่างไร 

สุดท้ายมันจะเห็นวิถีขันธ์ วิถีจิต วิถีทั้งหมดของผัสสะที่กระทบสัมผัสภายนอกภายใน เป็นวิถีของไตรลักษณ์ ...ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นแก่นเป็นสาร จับต้องไม่ได้  นั่นแหละ...ทิ้ง วิถีนั้น ไม่หลงแล้ว

จากนั้นจึงมาจำแนกแยกวิถีใจจนชัดเจน ...ไอ้นี่ใจ เอ๊ะ ทำไมยังทุกข์ ทำไมยังต้องมีผู้รู้ ทำไมยังต้องมีคนรู้ เนี่ย มันจำแนกแล้ว เข้ามาจำแนกตัวมันเอง แยบคายในตัวใจอีก ...นี่เป็นงานของพระอริยะเบื้องสูง จึงจะปอกเปลือกใจออก

ถ้าใจไม่มีเปลือกมันก็ไม่มีใจ ถ้ามีใจก็แปลว่ามีทุกข์ เพราะมันเป็นใจที่อยู่ตรงนี้ ...ถ้ามันมีที่ตั้งของใจนั่นแหละคือที่ตั้งของทุกข์  เมื่อไม่มีที่ตั้งของใจ นั่นแหละไม่มีที่ตั้งของทุกข์ 

ไปยืนอยู่ในอวกาศดิ ยืนได้มั้ยล่ะ ...ยืนไม่ได้ ไม่รู้จะยืนตรงไหน มันโล่งหมดน่ะ มันหล่นหมดน่ะ ...แต่ถ้ามีอะไรเป็นวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ก่อกุมจับตัวรวมกัน ไม่ว่าจะละเอียดจนถึงปราณีตที่สุด มันต้องมีที่ตั้งของทุกข์นั้นได้หรือของอาการนั้นได้ สามารถตั้งอยู่ได้

เมื่อใดที่มีตรงไหนที่อาการนั้นสามารถตั้งอยู่ได้ ตรงนั้นแหละเป็นที่ตั้งของทุกข์ ... ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอนธรรมที่เข้าไปสู่ความดับที่เหตุนั้นๆ ... นี่ที่พระอัสสชิ กล่าวกับพระสารีบุตร

เพราะฉะนั้นการเข้าไปดับเหตุที่สุดของเหตุนั่นแหละ เหตุที่สุดของเหตุนั่นแหละคือใจ ใจผู้รู้นี่แหละ ... เมื่อใดหมดสิ้นใจ เมื่อนั้นหมดสิ้นทุกสรรพสิ่ง  เมื่อใดเข้าสู่ความไม่มีใจปรากฏ เมื่อนั้นแหละเข้าสู่ความสิ้นสุดไปของสรรพสิ่ง

ไม่ได้คิดไม่นึกเลยนะ มันไปของมันอย่างนั้น  มันเข้าไปทำลายตัวของมันเอง เข้าไปทำลายฐาน บังเกอร์ .. คือมันมีบังเกอร์กูก็หลบอยู่ในบังเกอร์น่ะ เพราะว่าอยู่ในบังเกอร์นั้นกูไม่ตาย ถ้าออกนอกบังเกอร์แล้วกูตาย  จะสลัดบังเกอร์ทิ้งกูก็ตาย มันกลัวมันตาย

มันกลัวใจมันตาย มันก็ทะนุถนอมใจไว้...ไม่ยอม  ในขั้นสุดท้ายนี่ มันทะนุถนอมใจรู้ กิเลสตัวสุดท้าย อาสวะขั้นสุดท้าย ...ต้องอาศัยอาสวขยญาณเท่านั้น จึงจะยอมละตัวรู้ จึงจะปล่อยผู้รู้

มันเป็นรู้เฉยๆ ไม่ได้รึไง ทำไมต้องมีผู้รู้ล่ะ ก็รู้ ..ก็รู้ก็แค่รู้ ทำไมต้องมีผู้รู้ แต่ทุกครั้งที่รู้มันจะมีผู้รู้ ...แก้ไม่ได้หรอก ต้องอยู่กับมัน ต้องอาศัยมันไปก่อน  จนถึงที่สุดของผู้รู้ผู้เห็นนั่นแหละ มันถึงจะทิ้งตัวมันเอง มันถึงจะสลัดขั้นสุดท้าย  

แต่เบื้องต้นสลัดขันธ์ก่อน ให้เหลือแต่ผู้รู้...นี่ยังยากจะตายชักอยู่แล้ว ... สอนแล้วสอนอีก บอกแล้วบอกอีก สักพักหนึ่งก็ไหลหลงเผลอเพลินแล้ว ไปหานั่นทำนี่ ไปเอาอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ จะพิจารณาอันนั้น จะไปภาวนาอันนั้นดีไหม ตัวนั้นเร่ง ช่วยสนับสนุนเกื้อกูลมั้ย  เอาแล้ว

อย่าไปเสียดายสภาวธรรม ...ให้มันสั้นลงลัดตรง รู้มันเข้าไป เอาผู้รู้ไว้ อยู่กับผู้รู้ อยู่กับผู้เห็น  อะไรเกิดขึ้นรู้ อะไรเกิดขึ้นเห็น ไม่มีอะไรก็อยู่ที่รู้ ไม่มีอะไรก็อยู่ที่เห็นนั่นแหละ

จี้มันลงไปข้างในนั่น จี้มันเข้าไป หยั่งเข้าไป ไม่มีอะไร ไม่รู้อะไร ขี้เกียจจะรู้อะไร หยั่งมันเข้าไปข้างในนั่นแหละ  อยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปอยู่ที่อื่น เอาแค่ตัวเดียวนั่นแหละ เอาให้อยู่ก่อน ...ปัญญาหลากหลายดั่งมหาสมุทรสายธาร เกิดขึ้นตรงนั้นแหละ

เหมือนน้ำในแม่น้ำทั้งโลกนี่ไหลรวมลงมหาสมุทรเดียวกัน บอกให้เลย ...แล้วน้ำจากในโลกนี่มันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากมหาสมุทร ไปเป็นฝน แล้วก็ตกลงมาเป็นแม่น้ำ แล้วแม่น้ำก็กลับมาลงที่มหาสมุทร

ไม่ต้องไปหาที่อื่นหรอก อยู่ที่นี่แหละ อยู่ที่ผู้รู้ผู้เห็นนี่แหละ...ที่เดียว ความรู้นี่หลั่งไหลเลย แจ้ง แทงตลอดหมดแหละ สามโลกธาตุ มีอะไรที่มันไม่รู้มั่ง ...มันรู้จนว่ามีอะไรที่มันไม่รู้บ้าง ถ้าได้เข้าถึงภาวะที่เรียกว่าเป็นมหาสติขึ้นมานี่ มีอะไรบ้างที่มันไม่รู้ ...ไม่มีเลย

ทุกขณะไม่ว่าอะไร...จะภายนอก ไม่ว่าอะไรจะภายใน ไม่ว่าอะไร ไม่มีเคลื่อน ไม่มีเล็ดลอดที่จะไม่รู้กับมันได้เลย  และเมื่อรู้ไม่เล็ดลอดออกมาที่จะไม่รู้ได้เลย จะเห็นทุกอย่างที่มันรู้ตรงนั้นดับไปในปัจจุบัน
 
เนี่ยความรู้มันหลั่งไหลอยู่ที่ตรงนั้นแหละ ความรู้เห็นเป็นไตรลักษณ์ ความรู้เห็นเป็นอนัตตา ความรู้เห็นที่เป็นไปเพื่อความดับสูญ ดับสิ้น ไม่มีตัวตน หาตัวตนไม่เจอ ...อยู่ตรงนั้นน่ะที่เดียว

จึงบอกว่ามันไม่มีอะไรที่มันไม่รู้ มันจึงบอกว่าไม่มีอะไรที่สงสัย  เพราะมันรู้จนไม่มีอะไรที่มันไม่รู้น่ะ มันจะสงสัยกับอะไรดี ...มันไม่สงสัย มันเห็นหมดเลย ตลอดเวลา 

นั่นมหาสติขั้นมหาปัญญา ถึงขั้นไม่ต้องหลับไม่ได้นอนแล้ว จิตมันตื่นตามันตื่นโพลงอยู่อย่างนี้ มีอะไรมั่งที่มึงจะผ่านสายตากูไปได้ เพราะมันมองอยู่ตลอดอย่างนี้ ใช่มั้ย

ไอ้พวกเราตอนนี้น่ะ...คร่อก  ตบกะโหลกทีก็ตื่นที แล้วก็...ตื่นทำไม หลับต่อดีกว่า เนี่ย มันอยู่อย่างนั้น มันใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้น หลับหูหลับตาเดินน่ะ...ตาใจมันหลับ  ตานอกมันตื่นอยู่หรอก ตานอกมันก็ส่ายส่องไปดูผู้หญิงผู้ชายกันไป แต่ตาในน่ะหลับตลอด 

แต่มหาสตินี่ ตาข้างในนี่มันตื่นอยู่อย่างนี้ บอกให้มันหลับมันก็ไม่หลับ ตามันแข็งอยู่อย่างนี้ แต่มันไม่ได้แข็งด้วยอำนาจหรือฤทธิ์ยาใดๆ ...แต่ด้วยอำนาจของสติสมาธิปัญญา มันตื่นรู้ตื่นเห็นอยู่ตลอด  

หลับมันยังตื่นเลย มันยังรู้เลย ... ตื่นขึ้นมามันทบทวนหมด ตั้งแต่ก่อนนอน กำลังนอน ระหว่างนอนมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น...รู้หมดน่ะ ใจมันไม่หลับ ...มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นที่มันตื่นรู้อยู่ตลอด

มันรู้ไม่ได้รู้เพื่ออะไร ไม่ได้รู้เพื่อเอาสภาวะอะไร หรือรู้เพื่อเอาชื่อเอาเสียงเอาคุณสมบัติญาณวิเศษใดๆ ...มันรู้เพื่อให้เห็นว่ามีอะไรมั่งที่ไม่ดับ มีอะไรมั่งที่เสถียร ... มันรู้มันตื่นเพื่อจะเห็นว่ามีอะไรมั้ยที่มันดำรงอยู่ ...นั่นแหละไม่มีเลยน่ะ มันไม่มีเลย เกิดตรงไหนดับตรงนั้นๆๆ

มันเห็นอยู่อย่างเดียวแค่นั้น ไม่เห็นอย่างอื่นเลยนอกจาก...เกิดกับดับ  ไม่เห็นชาย ไม่เห็นหญิง ไม่เห็นสัตว์ ไม่เห็นดี ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นคุณ ไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นควร ไม่เห็นไม่ควร ไม่เห็นใช่ ไม่เห็นถูก ไม่เห็นผิด...แต่เห็นว่าอะไรเกิดแล้วมันก็ดับ มันเห็นแค่นั้นจริงๆ

มีแต่เกิดกับดับ กับดับกับเกิด เกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด อยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่ว่าอะไร มันเห็นแค่ตรงนั้น มันมีความหมายเดียวอยู่แค่นั้น จึงเรียกว่ามันเห็นไตรลักษณ์ครอบคลุมสามโลกธาตุ ... ไม่ได้คิดแต่มันเห็นอย่างนั้นจริงๆ ใจที่มันอยู่ตรงที่ตรงฐานมันแล้วนี่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไตรลักษณ์ให้มันเห็นต่อหน้าเลย

ไอ้นี่คิดแทบตายยังไม่เห็นว่ามันไม่เที่ยงยังไง ต้องวาดนึกภาพไปตั้งแต่เกิดจนไปเผา อ๋อ ไม่เที่ยง เห็นมั้ย มันถึงเห็นว่าไม่เที่ยง ...ตอนนี้ดูยังไงมันก็ว่าเที่ยง ต้องคิดไปจนถึงเข้าเตาเผาแล้ว ตัวนี่หายไปจากโลกนี้ค่อยว่า เออ ไม่เที่ยง เห็นมั้ยกว่าจะเห็นความไม่เที่ยงของมัน

แต่พอฝึกไปฝึกมาเนี่ย กายลุกเดินขยับปุ๊บนั่งปุ๊บ เห็นความไม่เที่ยง ความดับไปในปัจจุบัน นี่ชัด เร็วขึ้นแล้ว  พอถึงที่สุดที่เหลือแค่ใจนี่ พั่บๆๆๆๆ นี่...เห็นไตรลักษณ์ทุกขณะจิต  มันถึงรู้รอบโดยตลอดสามโลกธาตุสามภพเลย ...ถ้ามารอแค่ลุกยืนเดินนั่งนอนกายขยับเกิดดับๆ โอย กว่าจะครบสามโลกธาตุนี่อีกหลายชาติเลย 

แต่ในโลกธาตุของจิตนี่ไวมาก หมุนเหมือนจักรผัน เหมือนเครื่องยนต์ เขาเรียกอะไร Killing machineน่ะประมาณนั้น  ดำเนินการโดยอัตโนมัติ มึงอย่าได้โผล่อย่าได้ผุดมาเลย ดับหมด  ไม่ได้ไปดับเลยนะ ไม่ได้มีใครเข้าไปดับ ...มันเห็นปัจจยาการการเกิดดับในที่อันเดียวกัน เกิดตรงไหนดับตรงนั้น ไม่ต้องหาที่ดับ...มันดับตรงที่เกิดน่ะ

ไอ้พวกเราต้องรอแทบตายกว่าจะเห็นความดับ หรือว่าเมื่อไหร่มันจะดับ หรือมันจะดับยังไง มันจะดับโดยอะไร มันดับที่ไหน จะทำยังไงมันถึงจะดับดี ... เยิ่นเย้อนะนั่นน่ะกว่าจะเห็นความดับในแต่ละเรื่องน่ะ ต้องรอ เยิ่อเย้อ ...แต่ตรงนั้นน่ะ เกิดตรงไหนดับตรงนั้นๆ ขนาดนั้น

โดยปัจจยาการมันสั้นอยู่แค่ขณะเดียว เห็นปฏิจจสมุปบาทในแค่ขณะจิตเดียว ไม่มีน่ะ...ปัจจยา ผัสสะ ปัจจยานามรูป ปัจจยาเวทนา ปัจจยาสังขาร ปัจจยาภพ ปัจจยาชาติ อุปาทาน ตัณหา มันหลายปัจจยาการ  
เหลือปัจจยาการเดียว เกิด-ดับๆๆๆ ... คือมึงโผล่มึงดับๆๆ นอกนั้นก็เป็นแผ่นภาพ...เป็นแผ่นที่ไม่มีชีวิต ทั้งหมดน่ะเป็นแผ่นภาพวาดที่ไม่มีชีวิต

จึงจะเข้าใจความหมายว่า กายสักแต่ว่ากาย จิตสักแต่ว่าจิต เวทนาสักแต่ว่าเวทนา ขันธ์สักแต่ว่าขันธ์ โลกสักแต่ว่าโลก มีสักแต่ว่ามี เป็นสักแต่ว่าเป็น ... นั่นแหละ ไม่มีปัญหากับสิ่งพวกนี้แล้ว เล็กน้อยมาก เหลือแค่ตรงนี้ความปรุงแต่งภายในที่มันจะกระโดดไปจับ ไปให้ค่า ไปคาด ไปหวัง ไปหมายมั่น

จนมันหมด..หมดสิ้นกำลังของมันน่ะ หมดเหตุปัจจัยปรุงแต่งภายใน หมดสภาวธรรมที่เรียกว่าสังขตธาตุ ...จนเหลือแต่อสังขตธาตุ อสังขตธรรม  เหลือแต่ธรรมที่ไม่อาศัยความปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น  เรียกว่าอสังขตธาตุคือใจ อสังขตธรรมคือใจโดยบริสุทธิ์ ไม่ใช่ใจที่ยังปนเปื้อนอาศัยอยู่กับสังขตธาตุสังขตธรรม

เพราะฉะนั้นตัวสังขตธาตุสังขตธรรมนั่นคือเจตสิก นั่นคืออาสวะทั้งหมด เป็นธรรมปรุงแต่ง เป็นธรรมที่ต้องอาศัยความปรุงแต่ง  ถ้าไม่มีความปรุงแต่งจะไม่เกิดสภาวธรรมขึ้น ... เข้าใจมั้ย คำว่าสังขตธาตุกับอสังขตธาตุนี่

ทั้งหมดที่เราสัมผัสสัมพันธ์อยู่นี่คือสังขตธาตุ คือเป็นธรรมที่เกิดขึ้นด้วยอาศัยความปรุงแต่ง ...ยังมีธรรมอีกลักษณะนึงที่เป็นธรรมที่เหนือความปรุงแต่ง ท่านเรียกว่าอสังขตธาตุ อสังขตธรรม 

อสังขตะ นั่นคือใจแท้ เป็นธาตุที่ไม่อาศัยความปรุงแต่ง ...ก็ดำรงอยู่ในความที่เหมือนกับไม่มีการดำรงอยู่ ท่านจึงเรียกว่าเป็นโลกุตรจิตโลกุตรธรรม มันเป็นจิตที่เหนือจากโลกียะ ...ไอ้โลกียะนี่คือจิตสังขารทั้งหมด ตัวโลกุตรจิตโลกุตรธรรมนี่คือภาวะใจเดิมใจแท้ ใจประภัสสร

เพราะฉะนั้นการล้างนี่มันเป็นการปหาน ...คำว่าปหานคือหมายความว่าฆ่าแล้วตาย ตายก็หมายความว่ามันไม่กลับมาอีก คือจะไม่กลับเข้ามาอาศัยมันอีก จึงเรียกว่าเป็นปหานตัพพธรรม  คือไม่อาศัยธรรมที่ต้องอาศัยความปรุงแต่งเป็นที่ตั้ง ไม่กลับมาใช้กับมันอีก 

จนถึงที่สุดของปหานคือเรียกว่าเป็นสมุจเฉท อันนี้คือฆ่าล้างโคตร เจ็ดชั่วโคตร ตายหมด  คือไม่มีเชื้อไม่มีเงื่อนแล้ว ไม่มีเงื่อนไขแห่งการเกิด ...ใจไม่สามารถจะพาไปเกิดกับอะไรได้อีกโดยสังขตธรรมเป็นตัวนำไปเกิด

เพราะมันหมดตัวที่เป็นสังขตะเข้ามาครอบงำใจ ...คือมันชำระๆ ขัดๆๆ เกลาๆๆ ล้างๆ ลบออก  เหมือนดีลีทฟอร์แมทฮาร์ดดิสก์จนว่างเปล่า จนหมดข้อมูลน่ะ ... ข้อมูลทั้งหมดนั่นแหละเป็นเหตุแห่งการเกิด ไม่จบไม่สิ้น ...จำได้หมายรู้นั่นแหละ และให้ค่าตามสิ่งที่จำได้หมายรู้นั่นแหละ ทั้งหมดเลย

ละเอียดมากจนถึงมากที่สุดเลย ประณีต ประณีตถึงขั้นที่เรียกว่าหมดสิ้นซึ่งคำบรรยาย  มันละเอียดเกินกว่าภาษามนุษย์จะอธิบายได้ มันละเอียดเกินกว่าภาษาบัญญัติที่จะไปบัญญัติมันทัน หรือให้รายละเอียดถึงสภาวะที่สุดของใจนี้ได้

บอกอย่างเดียวว่าแค่รู้นี่แหละ แค่รู้เดี๋ยวนี้ รู้อยู่ที่นี่ รู้อยู่ที่เดียวนี่แหละ ...แต่สำคัญว่ารู้ให้จริง รู้ให้ต่อเนื่อง รู้ให้เป็นนิจ ไม่มีอะไรที่จะมาขัดขวางขบวนการของปัญญาได้เลย

ที่มันขัดขวางตัวเดียวคือขี้เกียจ...ขี้เกียจรู้บ่อยๆ 'ไปหาอะไรทำดีกว่า'  มันจะอ้างตรงจุดนี้ ขี้เกียจ เบื่อ ไปหาอะไรทำแล้วมันได้ผลดีกว่า ทั้งภายนอก ทั้งการภาวนาแบบอื่น ทั้งการที่ว่าไปเที่ยวไปเล่น...ด้วยตา หู จมูก ลิ้น แสวงหาภายนอก...หาโลก  ...มันรู้สึกว่าได้อะไรมากกว่า 

นั่นน่ะมันจะไปติด เสียเวลาเพราะตรงนั้น ...แต่ถ้ารู้ๆๆๆ เอารู้ไว้ ไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้เลย ไม่มีอะไรมาขวางกั้นความเห็นจริง เห็นแจ้ง เห็นชอบในธรรม เห็นควร เห็นธรรมตามจริง

เพราะนั้นผู้ใดที่รู้อยู่เสมอ รู้อยู่เป็นนิจ จึงจะพ้นจากบ่วงมาร ... ผู้ใดมีสติรู้เท่าทันใจ จึงจะข้ามจากวัฏสงสาร หลุดออกจากวัฏสงสารได้  ไม่เป็นเหยื่อให้เขามัด ให้เขาคล้อง ...ความจริงเขาไม่ได้มัด เราแหละไปมัดเขา 

ต้นไม้มันอยู่ของมันอยู่ดีๆ นี่ ก็ไปกอดเขาซะยังงั้นน่ะ รถก็ตั้งอยู่เฉยๆ นี่ก็บอกว่าของเราซะยังงั้นน่ะ รถก็คือรถ ... “ไม่ใช่อ่ะ รถของฉัน” นี่ว่าเข้าไป “ใครอย่ามายุ่งนะ นั่งเกินสิบคนไม่ได้นะ รถเก๋งของเรา” ... รถมันไม่ได้ว่า มีแต่เราแหละว่า

กว่าที่เราจะเรียนรู้ความเป็นจริงนี่ เราจะต้องฝ่าฟันความเชื่อความเห็นเหล่านี้ ที่มันใช้ในพื้นฐานของมนุษย์โลกเลยน่ะ  แล้วละออก ...เท่าทัน และยอมละมัน ยอมละความเห็นเช่นนั้นซะ 

ดูเหมือนสูญเสียนะ สูญเสียความเป็นเจ้าของ  ดูเหมือนต้องสลัดทิ้งนะ ... เสียดายไหม...เสียดาย อันไหนที่รักมากเสียดายมาก อันไหนที่หวงมากไม่ค่อยยอมปล่อย

นั่นแหละ ต้องทานทน อดทน ฝึกฝน เคี่ยวกรำ...กับสิ่งที่มันยึดมั่นถือมั่นภายในเช่นนี้แหละ โดยที่ว่าไม่ท้อถอยเสียจนหมดกำลัง หมดแรงใจ 

หมดพลังก็หมายความว่า ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว ช่างมันหัวมันเถอะ ปล่อยให้มันเป็นของมัน  นั่นแหละมันลงอีหรอบนั้นน่ะ นักภาวนาผู้แก่กล้า สุดท้ายถูกโลกบดกลืนไป ... พอมันทุกข์ๆๆๆๆๆ ก็ เฮ้ย ไปหาอาจารย์ดีกว่า ให้อาจารย์เคาะเผื่อจะดีขึ้นมั่ง’ … ก็แค่นั้น 

ต้องอดทนมากๆ ด้วยกำลัง...ยืนด้วยปลีแข้งของเจ้าของ...ให้มาก  เตือนตัวเองบ่อยๆ “อยากกลับมาเกิด อยากกลับมาเป็นเจ้าของอะไรอีกหรือ กว่าจะหามาก็ยาก ดูแลรักษาก็ยิ่งยาก หมดไปหาใหม่ก็ยาก ...ยังอยากจะเอา จะมีกับมันอีกเหรอ” ... นั่น ต้องคอยสอน คอยบอกกับมัน

แล้วกลับมา ไม่เอาอะไรอ่ะ ไม่เอาอะไรนอกจากกายใจ แค่นี้กูก็จะบ้าตาย ที่หลงกับมันอยู่...ผมของกู หน้าของกู ตัวของกู ตัวของเรา เดี๋ยวก็สวย เดี๋ยวก็ไม่สวย เดี๋ยวก็ดำเดี๋ยวก็ด่าง เดี๋ยวก็ต้องหาอะไรมาลบ (เสียงโยมหัวเราะว่า “ฝ้าขึ้น”)

มันหย่อนมันยาน ก็ต้องมีเดย์ครีมไนท์ครีมอะไรเยอะแยะ มาทามาโปะ โบ๊ะๆๆๆ (หัวเราะกัน) เพื่อให้มันใสขึ้น ...มีเครื่องวัดความใสอีกนะ แหม มันช่างสรรหากันมาให้ลุ่มหลง  ก็ติด...ติดกันเข้าไป

ไอ้พวกเราก็กระหายเหมือนหมาหิวน่ะ มีอะไรก็โดดงับเลย เตรียมเลย เตรียมพร้อมว่าเมื่อไหร่จะมีของใหม่ๆ มา...หลอกกูอีก มันแอบวงเล็บปิดท้ายไว้ว่า “หลอกกูอีก”  คือยินยอมให้เขาหลอกอยู่ตลอด

หาเลยนะ คอย เหมือนหมาหิว เหมือนหมากับกระดูก เหมือนหมาที่คาบเนื้อวิ่งข้ามน้ำน่ะ เนื้อมีอยู่ก้อนนึงในปาก แต่เห็นเงาเนื้อในน้ำ ว่าก้อนนั้นใหญ่กว่า ทิ้งเลยก้อนเนื้อในปาก ...คือทิ้งปัจจุบันขณะนั้น แล้วก็คิดคาดหมายเอาว่าเนื้อที่อยู่ในน้ำใหญ่กว่า ดีกว่า น่าอร่อยกว่า

สุดท้าย โบ๋เบ๋ ไม่ได้อะไรสักอย่าง หิวโซอีก กลายเป็นหมาหิวอีก อยู่อย่างนั้นน่ะ ...เนื้อในปากมีอยู่แล้วไม่เอา ไม่พอดี ไม่พอดีซักทีอ่ะ มันเป็นโรคอะไร

เป็นโรคกิเลส เป็นโรคตัณหา เป็นโรคอุปาทาน ...มันเกาะกุมอยู่ที่หัวใจ ล้างไม่ออก ล้างไม่หมดซักที มีแต่สนับสนุนปรนเปรอมัน คล้อยตามมันอยู่เสมอ  มีรึมันจะไม่มีกำลัง มีรึมันจะไม่แข็งแรง มีรึมันจะแก่ตายไปเอง...ไม่มีหรอก

มีแต่ศีลสมาธิปัญญาเท่านั้นแหละที่คอยเป็นดาบ เป็นมีด เป็นเสียม เป็นจอบ เป็นพลั่ว...คอยแซะ  คอยงัด คอยง้าง คอยดึง คอยแกะ คอยลอก คอยเปลื้องปลดออก 

แต่ผู้อยู่อาศัยนี่มันละเลย ไม่รู้จักหว่าน ไม่รู้จักไถ ไม่รู้จักทำนา ไม่รู้จักที่ดิน ไม่รู้จักทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว ไม่ขุดข้นแสวงหาขึ้นทำขึ้นด้วยจอบมีดเสียม...เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา

เนื้อนานี้ นี่ๆ จึงไม่เป็นเนื้อนาบุญ จึงไม่เป็นเนื้อนาของพระอริยะ จึงไม่เป็นเนื้อนาของสุปฏิปันโน ...มันมีเนื้อนาแต่มันใช้เนื้อนาไม่เป็น จึงไม่เป็นเนื้อนาบุญของโลก 

ทำไมท่านถึงเปรียบพระอริยะเป็นเนื้อนาบุญของโลก เพราะท่านใช้เนื้อนานี่เป็น  เมื่อหว่านไถพรวนแปลงลงกล้าด้วยศีลสมาธิปัญญานี่ เนื้อนานี่ได้ผลผลิตที่ดี แจกจ่าย แบ่งปัน เกื้อหนุน สงเคราะห์ด้วยธรรม ด้วยผลแห่งธรรม นั่นแหละ ท่านใช้เป็น จึงเปรียบว่าพระอริยะนี่เป็นเหมือนเนื้อนาบุญของโลก

แต่พวกเรามันเป็นเนื้อนาเลว ...มีเนื้อนาบุญ แต่ไปทำเนื้อนานั้นให้เลว ผลผลิตออกมาก็เลว  แล้วก็เอาความเลวมาโอ้อวดแข่งขันประชันกัน จนเบียดเบียนกัน ข่มเหงกัน ยกตนข่มท่านใส่กัน ด้วยผลงานต่างๆ การกระทำ คำพูด ความคิด เห็นมั้ย มันเป็นผลนะนั่นน่ะ ผลจากการที่ลงไถลงพรวน แต่ไม่เอาพันธุ์ดีลง เอาพันธุ์เลวๆ ลงไป  แล้วก็เอาผลเลวๆ มาอวด

พระพุทธเจ้าถึงเปรียบว่าต้องใช้เนื้อนานี้ให้ถูกให้ควร เป็นเนื้อนาบุญที่มีอยู่แล้ว...คนละแปลง คือขันธ์ห้า คือกายใจ ...ทำยังไงถึงจะอยู่กับกายใจนี้ด้วยศีลสมาธิปัญญาให้มากที่สุด ให้พอดีที่สุด ให้ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินไปในอดีต-อนาคตได้มากที่สุดเมื่อไหร่ นั่นแหละ ใช้เนื้อนานี้เป็น

ผลผลิตไม่ต้องกลัว...งอกงามเอง ไม่ต้องไปหวังผลเลย  ขอให้ลงไถปักหว่านด้วยศีลสมาธิปัญญาแล้ว ยังไงๆ ก็ได้ข้าวกิน ไม่มีทางปลูกข้าวเป็นงา หรือเป็นอะไรที่มันไม่ตรง มันกลายพันธุ์

ศีลสมาธิปัญญา รู้ตรง เห็นตรงลงไปที่กายนี้ใจนี้ ผลออกมา...ตรง ไม่เป็นอื่น  ตรงคืออะไร...เกิดตรงไหน สุดท้ายมีความดับไปเป็นธรรมดา ...นั่นล่ะตรงที่สุดแล้ว ไม่มีผลเป็นอื่น 

ไอ้นั่นดี ไอ้นี่สงบมาก โหย นี่เกิดความเห็นชัดเจน รู้มากมายมหาศาล’ ...ไอ้นี่เห็นไม่จริง เพราะมันยังเห็นไม่ถึงที่สุดว่า...สุดท้ายมันก็ดับ

เห็นให้ตรง ลงหว่านไถให้ตรง ...ศีลสมาธิปัญญาให้ถึงที่ตรงที่สุดแล้วนี่ จะเห็นถึง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปไม่ว่าอะไร ดีก็ดับ ร้ายก็ดับ เป็นคุณก็ดับ เป็นโทษก็ดับ กิเลสก็ดับ อยากก็ดับ ไม่อยากก็ดับ เป็นของเราก็ดับ ไม่เป็นของเราก็ดับ เออ ดูซิมันมีอะไรไม่ดับ

นี่ มันเห็นอย่างนั้น เรียกว่าเห็นตรง เห็นชอบ เป็นสัมมาญาณ  ความรู้ความเห็นนั้นเรียกว่าเป็นญาณ ญาณแปลว่าความหยั่งรู้ หยั่งรู้ในธรรม ...ไม่ใช่ไปหยั่งรู้ในชาติอดีต-อนาคตของคนนั้น เกิดมาเป็นหมา เป็นแมว เป็นพระราชา เป็นเทวดา เป็นพระ อะไรพวกนี้ ไอ้นั่นไม่ต้องไปหยั่งรู้หรอก

มาหยั่งรู้ในธรรมที่ปรากฏ ด้วยญาณทัสสนะที่บริสุทธิ์แจ่มใส  นี่เรียกว่าปรีชาญาณ นี่เรียกว่าปัญญาญาณ นี่เรียกว่าญาณทัสสนะ นั่นแหละที่ต้องการ ...ไม่ได้ไปรู้เห็นอะไรเลย รู้เห็นอย่างเดียวว่า มันเกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเกินกว่าความดับไป ...ที่สุดของธรรมนั้นไม่มีที่สุดกว่าความดับไป

ไม่ใช่ว่านั่งแล้วสงบ แล้วจะถึงที่สุดของความสงบ คือสงบจนไม่มีตัวไม่มีตน สงบยิ่งลึกซึ้งไป  นั่นไม่ใช่ที่สุดของความสงบนะ  ที่สุดของความสงบคือ...เดี๋ยวมันก็ดับ เออ นั่นแหละที่สุดจริง 

แต่ถ้ายังหลงในความสงบ ก็จะมีการทำให้มันยิ่งกว่าๆๆ ...นี่หลงอีกแล้ว นี่เห็นธรรมไม่ตรง นี่เห็นธรรมแบบบิดเบือน นี่เห็นธรรมแบบเข้าไปปรุงแต่ง ไม่ได้เห็นธรรมแล้วหยุดอยู่กับที่ ไม่เห็นธรรมด้วยความพอดี 

มันเห็นธรรมด้วยความเป็นเหมือนขอทานยาจก ไม่รู้จักพอ ...มันมีความอยาก มีความกระหายในธรรมที่มันยิ่งๆ ขึ้นไป



...................................




แทร็ก 6/3




พระอาจารย์

6/3 (541211C)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

11 ธันวาคม 2554




พระอาจารย์ – กลั่นใจ ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา  จนมันแยกออกเหลือแต่ใจเพียวๆ  ใจที่เป็นแค่ธาตุรู้เท่านั้น ใจที่เป็นธรรมชาติของธาตุรู้เท่านั้น ... นั่นแหละ ศาสนาพุทธท่านมีเปรียบไว้เหมือน กระพี้ เปลือก ใบ ราก แก่น  

ภาวนาคือให้เข้าถึงแก่นของศาสนา  ต้องเคี่ยวจนถึงแก่น ต้องลอกต้องปอกถึงจะเจอแก่น ... แก่นของศาสนาคือใจ ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ที่ใจ ...ไม่ใช่สำเร็จได้ที่อื่นนะ 

ถ้าเรายังไปตั้งความหวัง ตั้งความคาดหมายใดๆ ...ให้รู้ว่าไม่ใช่ อย่าไปตั้งที่นั้น ... ตั้งที่ใครรู้ว่ากำลังตั้ง ตั้งที่ใครเห็นว่ามันกำลังมีอาการออกไปหมายกับอะไร ...หาให้เจอ แล้วกลับมาอยู่ในที่ที่ควรอยู่ ไม่ใช่ไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่...อโคจร  จะเป็นทุกข์ จะถูกหลอก จะหลง จะเมา

รู้ไว้เสมอๆ จนเป็นนิสัย  ทำอะไรก็รู้ อะไรเกิดขึ้นก็รู้ ไม่มีอะไรก็รู้  เอารู้นี่เป็นยันต์กันผีไว้ สติน่ะแหละ...รู้  โกรธก็รู้ สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้  ตีคู่อยู่เสมอ  นั่นน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่กำลังกลั่นใจอยู่เสมอ  

อย่าท้อ อย่าขี้เกียจ อย่าเบื่อ อย่าคิดว่ามันด้อย อย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์  อย่าเชื่อความปรุงที่เป็นขันธมาร สังขารมาร คอยทำให้ความเพียรท้อถอยอ่อนแอ ย่อหย่อน ...ไม่งั้นมันก็ไม่ถึงน้ำไม่ถึงเนื้อ ไม่เห็นเนื้อไม่เห็นหนัง ไม่เห็นเอ็นไม่เห็นกระดูก แยกออกจากกันอย่างไร  มันกลืนกันเป็นสัตว์บุคคลอยู่อย่างนั้นแหละ  

เมื่อใดที่เราเคี่ยวกรำด้วยศีล สมาธิ ปัญญา  มันก็เหมือนกับเลาะหนังเอ็นกระดูกออก จนเห็นว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด  มันก็เห็นว่านี่คือใจ นี่คือจิต นี่คือขันธ์ นี่คือความคิด นี่คือผัสสะ นี่คืออารมณ์  นี่คือของที่เกิดๆ ดับๆ  นี่คือของที่ไม่เกิดไม่ดับ ... นี่คือเคี่ยวทั้งนั้นน่ะ 

ไม่ใช่ว่านั่งๆ สบาย อ้อนวอน ร้องขอ กราบพระไหว้พระ ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีลแบบสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ เป็นวันเป็นเวลา อย่างนี้แล้วเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น...ไม่มีอ่ะ ไม่มีทาง  เอาไว้หลอกเด็กเหอะ 

มันต้องเคี่ยวกรำ อบรม ด้วยสติสมาธิปัญญาเท่านั้น ... มันฝืนน่ะ มันฝืนนะ มันไม่สบายหรอก มันไม่สนุกด้วย  ดูหนังฟังเพลงสนุกกว่า ดูจิตดูกายไม่ค่อยสนุกเลย  แต่มันเป็นความไม่สนุก...ที่เป็นเหตุปัจจัยอันควรแก่การไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป...เลือกเอา

เหมือนเซลส์แมนน่ะเนี่ย ประกาศขายสินค้าอยู่ เชื่อไม่เชื่ออีกเรื่องนึง ... พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ท่านบอกว่ามีอยู่แล้วนี่ ของนี่แบให้ดูเลยนะเนี่ย 
อันนี้นะ โลกนี่ ... ไปได้นะ ทำอย่างนี้แล้วไปได้เลยนะ 
อันนี้นะ สวรรค์ มี 6 ชั้น นี่พรหม 16 ชั้น ... ทำอย่างนี้นะ ไปได้เลยนะ  
อันนี้นะ สัตว์นรกนะ ... ทำอย่างนี้นะ ไปได้เลยนะ 
อันนี้นะเดรัจฉาน อันนี้เปรตนะ อันนี้อสุรกาย ... ทำอย่างนี้นะ ไปได้นะ 
อันนี้นะ นิพพานนะ ... ทำอย่างนี้นะ ไปได้นะ 

นี่ พระพุทธเจ้าท่านแบออกมาให้ดูเลย ...เหมือนเซลส์แมนเหมือนกัน ประกาศขายสินค้า  แต่ท่านก็ยืนยันการันตีว่าที่สุดคือนิพพาน นอกนั้นน่ะอย่าไปคบหาสมาคมกับมันมาก ...แต่บุญยังเป็นที่พึ่งที่อาศัย  ท่านจึงบอกว่าบุญทำไว้ บาปอย่าทำ นิพพานให้แจ้ง นี่คือหลักของศาสนาพุทธ 

คืออยู่ดีๆ จะมาบอกว่า ทั้งหมด...ทิ้งให้หมด เหลือนิพพานอันเดียว ...ตายแน่ ศาสนาพุทธนี่จะเหลือแค่หลังพระพุทธเจ้าสิ้นไม่ถึง 50 ปี สิ้นเลยหมดเลย  เพราะมันจะทนทานต่อสภาวะความคาดหวังเรื่องบุญและบาปไม่ได้

แต่ด้วยกรรมวิบากที่เคี่ยวกรำขับเข็นทั้งดันทั้งส่งจนมาถึงขณะนี้แล้วนี่...ควรเข้าใจ  บุญบาปทำเยอะแล้ว รับผลกันเยอะแล้ว...ยังไม่เข็ดยังไม่หลาบยังไม่เบื่ออีกเหรอ  สมควรที่จะยกระดับทำนิพพานให้แจ้ง ชำระจิตให้ขาวรอบ ชำระใจให้บริสุทธิ์  ...มันถึงเวลาแล้ว

ไม่ถึงเวลาไม่ได้มาฟังหรอก ...เพราะเราไม่พูดเรื่องบุญและบาป เราไม่สนใจบุญ เราไม่สนใจบาป เราสนใจอย่างเดียวว่า รู้มั้ย...เดี๋ยวนี้รู้มั้ย  เราสนใจอยู่ประโยคเดียว แล้วเราสอนให้ทุกคนสนใจอยู่ประโยคเดียวว่า...เดี๋ยวนี้ รู้มั้ย  หรือไม่รู้  ถ้าไม่รู้...รู้ซะ แล้วอยู่ที่รู้ซะ 

อย่าไปอยู่ที่อื่น อย่าไปอยู่ที่บุญ อย่าไปอยู่ที่บาป อย่าไปคาดในบุญ อย่าไปหวังในบาป รู้ไว้อย่างเดียวแล้วอยู่ที่รู้นั่นซะ ...แค่นี้แหละคือการชำระจิตให้ขาวรอบ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำไว้ในขั้นสูงสุดของศาสนา  

เอาแค่เนี้ย ...เราไม่พูดอันอื่นหรอก เราไม่พูดภาษาบาลีบาแหละเยอะแยะล่ะ  เอาแค่ว่าถามตัวเองบ่อยๆ ว่ารู้มั้ย เดี๋ยวนี้รู้มั้ย ...ไม่รู้ก็รู้ซะ แล้วก็ให้รู้บ่อยๆ เดี๋ยวจะเข้าใจเองแหละ

เพราะแค่รู้นั่นมันก็เริ่มเข้าใจแล้ว...มันเข้าไปที่ใจ  ไม่ใช่เข้าใจเป็นเมสเสจหรือว่าเข้าใจเป็นข้อความ แต่มันเข้าโดยที่ใจที่ตั้งที่รู้อยู่ เห็นอยู่ ขณะนี้เดี๋ยวนี้  ถือว่าทำครบนะ ศีลสมาธิปัญญาขณะนั้น แม้แต่หนึ่งขณะ...ถือว่าพร้อมแล้ว ...ไม่พร้อมมันไม่สามารถจะรู้ได้หรอกนะ

ศีลสมาธิปัญญานี่ไม่ต้องไปไล่หาเลยว่า เฮ้ย วันนี้ถือศีลครบรึเปล่าวะ วันนี้เราสมาทานแล้วทำอะไรพลาดไปรึเปล่า ต้องไปทำอันนั้นก่อนรึเปล่า  ไม่เกี่ยวแล้ว ไม่สนแล้ว  ถามว่ารู้มั้ย ถ้ารู้อยู่ตรงนี้แปลว่าขณะนั้นศีลปกติ สมาธิตั้งมั่น ปัญญาเห็นอยู่ในปัจจุบัน เกิดแล้ว พอดีแล้ว สมควรแล้ว...สมควรแก่ธรรมแล้ว ที่จะเห็นธรรมทั้งหลายทั้งปวงแล้ว

ไม่ต้องอะไรมากกว่านี้ ไม่ต้องอะไรน้อยกว่านี้แล้ว  ถ้าทำมากกว่านี้ ถ้าน้อยกว่านี้...ทิ้งเลย  เพราะมันเป็นแค่ความปรุงแต่ง เพราะมันเป็นแค่ความคาดหมาย เพราะมันเป็นแค่การคะเนในธรรมที่ยังไม่ปรากฏ 

รู้อีก ออกอีกรู้อีก ไปไหนมาไหนรู้อีก ชักขะเย่อกับมัน ... ทำงานนี้งานเดียว เราไม่ให้หลายงานหรอก เราไม่ให้ทำงานหลายงานหรอก เราไม่ให้จับปลาหลายมือหรอก  เราให้มุ่งพุ่งตรงลงไปที่ใจล้วนๆ คือใจรู้ใจเห็นนี่แหละ

ไม่ต้องไปคิดว่า เอ๊ะ ใจมันอยู่ตรงไหนวะ มันหน้าตาอย่างนี้รึเปล่า หรือลักษณะอย่างนี้ หรือไม่ใช่ เสียเวลา...ให้รู้ไปเลยว่ากำลังบ้าคิดอยู่  พอรู้ว่ากำลังบ้าคิด เห็นมั้ยรู้แล้ว รู้เกิดแล้ว รู้มาแล้ว รู้ออกมาจากกลีบเมฆแล้ว  

เหมือนพระอาทิตย์น่ะ ออกจากกลีบเมฆ  สักพักหนึ่งเมฆก็มาคลุม...บึ้บ อ้าว เฮ้ย พระอาทิตย์หายไปไหนวะ  ไม่ต้องหา ...อยู่ตรงนั้นแหละ มันอยู่ตรงนั้นแหละ มันไม่ไปไหนหรอก  พอระลึกขึ้นมาว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น มันก็จะรู้โผล่ขึ้นมา นี่เปรียบเทียบไว้ เปรียบเทียบให้เห็น 

แต่จริงๆ แล้วมันจะค่อยไปเลียบเคียงเอาเองน่ะ ลักษณะอาการก็ใกล้เคียงกัน กับการที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง หายไปบ้าง ... ใจไม่หายนะ จำไว้นะ  อย่าไปมัวแต่ไปหาใจนะ ใจไม่หายนะ ใจมีอยู่  ใจหายคือตายแล้ว ถ้าใจหายนี่ตายแล้วต้องไปเกิดใหม่แล้ว 

เพราะงั้นตราบใดที่กายมียืนเดินนั่งนอนอยู่ได้ แสดงว่าใจยังอยู่นี่ตลอดเวลา...จนตาย  อยู่ในนี้แหละ ไม่ได้ไปไหน  ไอ้ที่มันหายไปคือเมฆมาบัง ความคิด ความหลง ความเผลอ ความเพลิน ความไปจริงจังกับอดีตอนาคต ความไปจมปลักอยู่ในเรื่องราวต่างๆ นานา พวกนี้ทำให้รู้หายไป

เพราะมันเกิดการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นจนปิดบังใจ  ขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดปัญญาเมื่อไหร่ใจหายทันที ... ระลึกขึ้นได้ ใจมาแล้ว เห็นมั้ย  ไม่ใช่จะต้องไปดั้นด้นค้นหานั่งสมาธิห้าชั่วโมงสิบชั่วโมงถึงจะเห็นใจนะ 

ไม่ได้ยากขนาดลงทุนโกนหัวบวชเรียนหรอก  ขับรถอยู่ยังรู้ได้เลย ขี้ยังรู้ ...รู้มั้ยว่าขี้ เหม็นมั้ย เหม็น ...ใครรู้ว่าเหม็นล่ะ เฮ่อ จมูกมันไม่รู้หรอก ใครรู้ นี่ใจรู้ ... ไอ้นี่ขี้ก็ไม่รู้ นั่งก็ยังไม่รู้เลยว่านั่งขี้  นั่งขี้แต่ดันไปคิดเรื่องกิน เฮ้ย..ตลกว่ะ

คิดไปเรื่อย ...ไปอยู่ตรงนั้นนี่ ไม่ได้ดูอาการที่ปรากฏแต่อย่างใด  เนี่ย มันปิดบังหมดน่ะ มันปิดบังใจหมดเลย ... ระลึกขึ้นมา รู้ขึ้นมา รู้อีกๆ ๆ รู้ให้ตรงลงไปในกายใจปัจจุบัน  มันเป็นยังไง ๆ มันปรากฏยังไง มันแสดงอาการยังไง  อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่มีอะไรดีกว่าตรงนั้นแล้ว ไม่มีอะไรวิเศษกว่าอยู่ที่รู้เห็นในปัจจุบันแล้ว

อย่าหลงอย่าเพลินไปกับที่มันล่อลวง หลอก...มันหลอก แล้วก็สุดท้ายก็ทุกข์ ไม่ได้อะไร  สุดท้ายก็มีแต่คว้าลมคว้าแล้ง ไล่ตามเงา หาสภาวะต่างๆ นานา ทั้งในการปฏิบัติ  หรือหาความสุขความทุกข์ต่างๆ นานาที่ยังไม่ปรากฏ 

แล้วก็ไม่ได้อะไร ไม่มีอะไรจริง ... สุดท้ายก็มาปวดๆ เมื่อยๆ เดินไปเดินมา เท้ากระทบดิน ตูดกระทบพื้น นั่งเก้าอี้ตึงๆ เหยียดๆ ...เนี่ย  จริงหมดเลย...ไม่อยู่ ไม่ดู ...ไม่รู้อยู่เห็นอยู่  

ไม่รู้จะไปรู้อะไรเป็นวรรคเป็นเวรกับอะไรก็ไม่รู้ ... ถามว่ากระดูกทับก้นอยู่ทำไมมันไม่รู้รึไง เฮอะ  ถ้าไม่รู้ว่ากระดูกทับก้นทับพื้นอยู่ตรงนี้ อย่าไปหาธรรมสูงสุดเลย ...ตรงนี้มันยังไม่รู้เลย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปรู้รายละเอียดอะไรเลย

เอาให้สั้นลงมา ตรงปัจจุบันนี้ก่อน ... แล้วทุกอย่างมันจะแจ้งออกจากปัจจุบันนี้แหละ จนครอบสามโลกธาตุ บอกให้  แค่รู้นิดนึงตรงนี้ ๆๆ เดี๋ยวนี้ๆ ๆ ๆ เสมอๆ  อย่าท้อถอย อย่าหาอย่างอื่น อย่าคิดว่ามีอะไรดีกว่านี้  ให้รู้ลงไป รู้ในปัจจุบัน

ซ้ำซากอย่างนี้ เรียกว่าเจริญสติให้มาก  ความรู้เห็นตามความเป็นจริงหรือที่เรียกว่าปัญญาญาณจะเกิดขึ้น  ความเห็นรอบ ความเท่าทัน จะเกิดขึ้น ...เมื่อนั้นแหละ จิตจะเบา ใจจะเบาสบาย  จะมีความรู้สึกเป็นปกติธรรมดากับทุกสิ่งทุกอย่าง...ที่เราเคยไม่ปกติธรรมดา จะเห็นว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดา

ซึ่งแต่ก่อนเราบอกว่าทำอย่างนี้ไม่ธรรมดา เสียงอย่างนี้ไม่ธรรมดา เป็นของร้อนเป็นของทุกข์ ...แต่ต่อไปมันจะเห็นเป็นธรรมดา ในสิ่งที่เราไม่เคยธรรมดากับมันได้เลยสักครั้งที่มันเกิด ไม่เคยธรรมดาได้สักครั้งที่เขาแสดงอาการอย่างนี้ ... มันก็จะเห็นเป็นธรรมดา 

เมื่อเห็นเป็นธรรมดา ใจก็อยู่ในภาวะที่เรียกว่าเป็นปกติคือแค่รู้แค่เห็นเฉยๆ ...ไม่มีความเสียดแทงภายใน ไม่มีความทุกข์ตรมภายใน  อันนี้เขาเรียกว่าเป็นมลภาวะของใจ ...เมฆหมอกนี่เป็นมลภาวะหนึ่ง เกิดจากความไม่รู้ 

แต่เมื่อเรารู้เห็นบ่อยๆ ชัดเจนขึ้นปุ๊บ มลภาวะนี้จะถูกเคลียร์ออก  เพราะไม่มีใจไม่รู้ไปสร้างมลภาวะขึ้นมา ... จะไปโทษใครไม่ได้ จะไปโทษว่า เสียง รูป กลิ่น รส การกระทำ อดีตอนาคต นี่เป็นมลภาวะ ...ไม่ใช่  เขาเป็นธรรมที่ปรากฏ เขาไม่ใช่มลภาวะ ...ใจไม่รู้ต่างหากที่ไปจับมันมาเป็นมลภาวะ 

เมื่อเรารู้แล้วเข้าใจแล้ว...สบาย ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างจริง ... มึงจริงกูก็จริง มึงปรากฏจริงกูก็รู้จริง มึงเกิดจริงก็รู้จริง มึงตั้งอยู่จริงก็รู้ว่าตั้งอยู่จริง มึงดับไปจริงก็รู้ว่าดับไปจริง ... นี่จริง ต่างอันต่างจริงนะ ไม่เห็นมีอะไรไม่จริงๆ ...มันเห็นแต่ความจริงล้วนๆ

เมื่อเห็นแต่ความจริงล้วนๆ นี่ เขาเรียกว่าโดยสัจจะ  เห็นสัจธรรม มันเป็นสัจธรรม  ไม่มีอะไรไม่จริง ... เมื่อไม่มีอะไรไม่จริง มันยอมรับทุกความจริงที่ปรากฏ นั่นแหละ ทุกข์เกิดไม่ได้ ไม่รู้มันจะไปเกิดตรงไหนดี  

ที่มันเกิดเพราะมันไปตั้งอยู่กับสิ่งที่มันไม่จริง ไปเชื่ออยู่ในสิ่งที่มันไม่จริง ไปเชื่อในสิ่งที่มันยังไม่เกิด ไปคาดในสิ่งที่มันดับไปแล้ว ไปหวังในสิ่งที่มันดับไปแล้ว  อย่างเงี้ย..มันจะไม่ทุกข์ได้ยังไง

แต่ถ้ามารู้ว่าเกิดจริง ตั้งจริง ดับไปจริง  ไม่มีปัญหา ทุกข์ไม่เกิด ไม่รู้จะไปเกิดตรงไหน ... แต่เมื่อใดที่มันตั้งอยู่แล้ว... เอ๊ะ มันไม่น่าจะตั้งนานนะ ทำไมมันไม่ดับสักที  นี่มันไปตั้งอยู่กับความไม่จริงที่ยังไม่เกิด...มีหรือมันจะไม่ทุกข์ มีหรือมันจะไม่เศร้าหมองขุ่นมัว มีหรือมันจะไม่คับแค้น แน่น ทนไม่ได้ ... นี่เรียกว่าทุกข์อุปาทาน

แต่ถ้ายอมรับรู้ตามความเป็นจริง  ทุกอย่างจริงหมด ตั้งอยู่จริง เกิดอยู่จริง ดับไปจริง ไม่มีอะไรตั้งอยู่ก็รู้ว่าไม่มีอะไรตั้งอยู่จริง แค่นี้  มันยอมรับทุกสิ่งโดยปริยาย  

ใจดวงนี้ ...ใจก็คืนสู่ธรรมชาติใจ แค่รู้ แค่เห็น ไม่ออกมาก้าวก่ายกับธรรมที่อยู่เบื้องหน้ามัน ด้วยอาการปรุงแต่งของจิตสังขาร ที่เข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยง หน่วงเหนี่ยว ฉุดรั้ง ด้วยสมมติภาษาบัญญัติ

สบาย...ถ้าอยู่ตรงนั้นสบาย  ไม่ใช่สุขหรอกแต่สบายดี  สบายดี สันติ เป็นกลาง ... ยังไงก็ได้ อะไรก็ได้ เท่าที่มันมี เท่าที่มันเป็น

แต่ตอนเนี้ย อะไรก็ไม่ค่อยได้เท่าไหร่  ไอ้นั่นก็ผิด ไอ้นั่นก็น่า ไอ้นั่นก็ไม่น่า ไอ้นี่ก็..ทำไมวะ  มีแต่ปรัศนีอยู่ในหัวใจตลอดเวลา  “ทำไมๆๆๆๆๆๆๆ ...มันไม่น่าๆๆๆ ...มันควรๆๆ อย่างนี้”  มันไม่หยุด ตลอดเวลา 

นั่นแหละ อำนาจของจิตไม่รู้ที่มันสรรหา เลือก ติด  ติด...ในสิ่งที่มันเคยผ่านมา  จำ...ในเวทนาที่ดับไป ในรูปในเสียงในกลิ่นในรสที่ดับไป...มันติด  พอมีอะไรผิดแปลกจากที่มันจำได้ สัมผัสรับรู้ได้ในอดีต ที่ดับไปเมื่อกี้ หรือหลายปีมาแล้วนี่ แล้วมันมาอยู่กับปัจจุบันที่มันไม่เหมือนนี่ กูไม่เอา กูจะเอาอันนั้น

จะเอาอันนั้นให้เหมือนตรงนั้น ให้ตรงนี้หายไปเร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี ... มันดิ้นอยู่แค่นี้ ไม่ยอมรับตรงนี้  ไม่ยอมรับว่าตรงนี้กำลังนั่งแล้วก็รู้สึกว่านั่ง รู้กับนั่งตรงนี้  นี่มันมีอยู่แค่นี้...มันไม่ยอม เห็นมั้ย มันไม่เห็นมีอะไรสนุกเลย

จิตมันแล่นไปที่ ..เมื่อไหร่จะไป จะได้ออกรถไปซะที ขยับหลายขยับแล้วนี่’ ...ไม่ให้ไป ไม่ให้ไปน่ะ ใครอยากจะลุกก็ลุกไป ...เห็นมั้ย ใจมันพาลุก ...ไม่ให้ไปน่ะ รู้อยู่ ...มันไม่น่าสนุกหรอก ปัจจุบัน  เห็นมั้ย ถ้าไม่อดทนตั้งมั่นด้วยศีลสมาธิปัญญานะ ...ไปแล้ว ไปตามจิตสังขาร

นี่เริ่มต้นมโนสังขาร มโนวิญญาณ มันปรุง  พอมันปรุงปุ๊บนี่ หลงเริ่มมีกำลัง มันเริ่มมีมือมีตีนแข็งแรง ... แข็งแรงปั๊บ มันลากสังขารไปเลย...ยกขาออกเลย กูเดินเลย (โยมหัวเราะ)  เห็นมั้ย กายสังขารตามมา  จากมโนสังขารก่อน  

แต่ถ้าเราอดทนอยู่อย่างนี้ มันก็ดับ ...เดี๋ยวก็ขึ้นมาใหม่ เดี๋ยวก็อยากขึ้นมาอีก ... ให้เห็น อยู่อย่างนี้...คือทนทานต่อกิเลสที่แผดเผาภายใน

เพราะอะไร ...เพราะใจมันแกว่งดิ้นไปหาเวทนาใหม่...ที่น่าจะเพลินกว่าสนุกกว่า ... มันติดนะ มันติดในความเพลินที่อดีตที่ผ่านมา ในรูปในเสียงที่ว่ามันดูแล้วสบายหูสบายตา สุขตาสุขใจ ...ตรงนี้ไม่ค่อยสุขตาไม่ค่อยสุขหู มันเฉยๆ น่ะ ...ถึงมันไม่เลวร้ายแต่มันก็ไม่สนุกไม่เพลิน เข้าใจมั้ย

มันก็เลยจะไปดึงเวทนาที่ยังมาไม่ถึงให้เหมือนกับเวทนาที่กูเคยลิ้มรสมา ...ใจไม่รู้มันหมาย  มันหมายอยู่สองอย่าง ... ไม่หมายอยู่อย่างเดียวคือปัจจุบัน ... กูไม่เอาๆ มันจะบ่นอยู่อย่างเนี้ย ... ตรงนี้ไม่เอา จะดิ้นๆๆๆ เหมือนจะตายซะให้ได้ 

ต้องอาศัยศีลสมาธิปัญญาผูกไว้ อยู่กับปัจจุบัน ... เอาจนมันตาย  อะไรตาย... ความอยาก ความไม่อยาก ตายก่อนแล้ว ... กายยังไม่ตาย ใจยังไม่ตาย ยังอยู่  แต่ความอยากตายซะแล้ว 

แต่มันตายแบบยังไง คือ... กูสลบเว้ยเฮ้ย  เดี๋ยวกูมาใหม่ ...มาในรูปแบบใหม่อีกนะ เอาแบบมึงต้องหลงกูแน่ๆ  เสร็จกูแน่ ถ้ากูมาคราวนี้มึงเสร็จกูแน่ 

มันจะพัฒนาระดับของมัน ระดับของความอยาก ...มันจะสรรหาเวทนาที่มันเลิศเลอเพอร์เฟ็คจนเราทานทนไม่ได้ ... นอกจากผู้มีศีลสมาธิปัญญาที่เข้มข้นเข้มแข็ง อดทน ตั้งมั่น เป็นกลาง เหมือนแผ่นดิน ... ตามลำดับ ... นี่ ต้องฝึกนะ 

อยู่ดีๆ มันไม่ตั้งมั่นเข้มข้นเข้มแข็งขึ้นมาได้เองนะ ... เพราะใจของเรานี่มันก็เหมือนนุ่นที่มันคอยที่จะปลิวอยู่ตลอดเวลา  ถ้าไม่เอาอะไรมาหล่อหลอมมัน ไม่เจริญสติสมาธิปัญญาให้มันแข็งแรงแข็งแกร่งมีหลักมีหมุดมีอะไรให้มันยึดมันมั่นอยู่ในปัจจุบัน...ยังไงก็ปลิว ตามลม ไปกับลมๆ แล้งๆ  นุ่นก็ไปตามลมๆ แล้งๆ

รูปก็เป็นอารมณ์ เสียงก็เป็นอารมณ์ กลิ่นก็เป็นอารมณ์นึง ความนึกคิดก็เป็นอารมณ์นึง พวกนี้เป็นลมคอยพัด ลมเพลมพัดอยู่เสมอ  ใจก็เบาหวิวๆๆ หวิวไปหวิวมา ล่องลอยไปมาในสามภพนี่แหละ ไม่สามารถจะมาหยุดเรียนรู้ เห็นตามความเป็นจริง

ไม่ได้มาให้หยุดเพื่ออะไรนะ...เพื่อให้มาเข้าใจมัน  แล้วเข้าใจมันแล้วเป็นไง ไม่ได้เข้าใจเอามรรคเอาอะไรหรอก เพื่อปล่อยวาง ... เข้าใจมันเพื่อปล่อยวางมัน 

ถ้าไม่หยุด ถ้าไม่อยู่ ถ้าไม่ดู ถ้าไม่เห็นกับมัน ในปัจจุบัน ก็ไม่เข้าใจ  ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีทางวาง บอกให้มันวาง ...'กูไม่วางอ่ะ'  

อ่านหนังสือมาก็เยอะ เรียนมาก็เยอะ ฟังมาก็เยอะ ...แต่ใจมันบอกกูไม่วาง  เพราะกูไม่เข้าใจมึง เพราะกูยังติดมึงอยู่ เพราะกูยังเห็นว่ามึงเที่ยง เพราะกูยังเห็นว่ามึงเป็นของเรา มันยังเป็นของเรา เรายังทำมันได้อยู่ เราควบคุมมันได้อยู่...กูก้อไม่วาง 

ไม่วางก็ต้องเจอไม้แข็ง ...สติสมาธิปัญญาผูกมันไว้ แล้วดูมันดีๆ ... เอาใจรู้ใจเห็นในปัจจุบันนั้นดูมันดีๆ เห็นมันไป  ดูซิมันเที่ยงจริงมั้ย มันเป็นเราจริงมั้ย หรือว่าไม่ได้เป็นอะไร ยังเงี้ย ...เอาจนใจมันยอม ใจมันเห็นจนยอม พอยอมแล้วบอก เข้าใจแล้ว ...เข้าใจแล้วมันก็ทิ้งเลย

ทิ้งเลย ทิ้งอะไรก็ไม่รู้ ทิ้งไอ้ที่ไม่มีอะไร  จริงๆ มันไม่มีอะไรอยู่แล้ว มันกลวงโบ๋เบ๋อ่ะ ... เห็นนิ้วมือเรามั้ย นี่ เราเขียนรูปภาพโยมนี่ พอเป็นรูปลักษณ์ขึ้นมา เนี่ย ความเป็นจริงมันมีแค่นี้ นอกนั้นไม่มีอะไร ... นั่นแหละทุกอย่างมันเห็นเป็นอย่างนั้น เป็นอะไรกลวงๆ ล่องลอยไปมา พล้อบแพล้บๆๆๆ ไม่มีสาระอะไร ไม่มีแก่นสารอะไร 

เมื่อมันเห็นอย่างนั้น จนเห็นว่าอะไรทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารเลย  สบาย หลุดแล้ว พ้นแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่มาหลงแล้ว  ไม่มาหลงลมหลงฟ้าหลงฝน ไม่มาหลงอากาศธาตุ ไม่มาหลงความไม่มีตัวไม่มีตนอะไรนี้แล้ว  

มันเป็นแค่นิมิต รูปก็เป็นนิมิต สัญญาก็เป็นนิมิต อารมณ์ก็เป็นนิมิต เสียงกลิ่นรสสัมผัสทั้งมวลเป็นนิมิต ...อยากเห็นมั้ยว่าเป็นนิมิตยังไง  ...ลงมาจากรถนี่นึกดู ตัวเมื่อกี้ไปไหน มันหายไปแล้ว ความรู้สึกที่มีอยู่เมื่อกี้ เรื่องราวที่พูดคุยตรงนั้น อารมณ์ตรงนั้น หายไปไหน  มีซากอะไรเหลือมั้ย...ไม่มี ไม่มีอะไรเหลือเลย เนี่ย จับต้องอะไรไม่อยู่เลยสักอย่าง

นั่นแหละเหมือนฝันไปไหม เมื่อกี้ชีวิตที่ผ่านไปนี่เหมือนฝันไปน่ะ  เดี๋ยวก็กลับลุกจากตรงนี้ไป นี้ก็เป็นฝันไปอีกแล้ว  เห็นมั้ย ฝันไปฝันมาอยู่นี่ ... แต่จริงจังเหลือเกิน เป็นจริงเป็นจังเป็นบ้าเป็นบอกับอะไรอย่างนี้ที่เหมือนฝันน่ะ เหมือนนิมิตนึงๆๆๆ ที่ปรากฏพูดคุยกันรู้เรื่องตรงนี้นะ เดี๋ยวหมดแล้ว จบไปแล้ว หายไปแล้ว

แล้วลองหาดู  มันอยู่ไหนวะ มันหายไปไหนวะ ... หาไม่เจอหรอก แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังหาไม่เจอหรอก  เพราะท่านก็ยังบอกว่ามันเป็นสุญโญ มันเป็นสุญญตา  มันเข้าไปในภาวะที่เรียกว่าสุญญตา ...ไม่ต้องหาหรอก  มันเหลือแค่จำรูปลักษณะเดิมเมื่อกี้ได้ อารมณ์เมื่อกี้ได้ จำได้ ... เดี๋ยวความจำมันก็สุญโญอีก 

ต้องให้ใจมันรู้เห็นซ้ำซากอย่างนี้บ่อยๆ มันถึงจะหายบ้าหายบอกับขันธ์กับโลก  จริงจังซะเหลือเกินในสิ่งที่ไม่ควรจริงจัง ... จนเห็นว่ามันไม่มีอะไรน่าจริงจังเลย  ไม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่พูดว่า ไม่มีขันธ์ ๕ ในเรา ไม่มีเราในขันธ์ ๕ ... ขันธ์ ๕ เป็นของว่าง 

เนี่ย แล้วดูเราซิ ดูยังไงมันก็ไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ มันว่างตรงไหน  ก็จับอยู่ยังเจอเลย ใจมันจึงไม่เชื่อหรอก  ...แต่ถ้าใจมันฝึกเรียนรู้ให้มันเห็นว่า เมื่อกี้...เดี๋ยวก็ดับตรงนี้ ลุกไปเมื่อกี้หายไปแล้ว ตรงเนี้ย แล้วจะเห็นเองว่าขันธ์ ๕ ว่าง ขันธ์ ๕ เป็นของว่าง

ไอ้ที่มีอยู่นี่เดี๋ยวก็พร้อมที่จะดับ ...ไม่ต้องรอให้ตายเผาก่อนถึงหายสูญไปนะ เดี๋ยวนี้ก็ดับ ขยับก็ดับ นิ่งดับขยับก็เกิด  เห็นมั้ย มันเป็นอะไรแค่หลอกแค่ชั่วขณะหนึ่ง ปรากฏขึ้นแค่ชั่วขณะหนึ่ง ชั่วคราว  ขันธ์นี่เป็นของชั่วคราว ปรุงแต่งรวมตัวกันแค่ชั่วคราว แล้วก็แปรปรวน แล้วดับไป ... นี่คือคุณสมบัติหรือบุคลิกของขันธ์ ที่เรียกว่าสภาพขันธ์ตามจริง

เพราะฉะนั้นสภาพขันธ์ตามจริง ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สวย ไม่ใช่ไม่สวย ...อันนี้ไม่ใช่สภาพขันธ์ตามจริง อันนี้คือสภาพขันธ์ตามสมมติและบัญญัติ  แต่สภาพของขันธ์ตามความเป็นจริงคือชั่วคราว แล้วดับไป นั่นแหละสภาพขันธ์ 

เพราะงั้นไอ้ใจน่ะไม่ต้องสอนมันที่สวยไม่สวย ไม่ต้องไปสอนมัน  มันรู้จนเกินแล้ว จนติดแล้ว ... แต่ต้องสอนมันว่า ตั้งอยู่ชั่วคราวแล้วดับไป สภาพขันธ์ตามจริง  ต้องให้มันเรียนรู้สภาพขันธ์ตามจริงส่วนนี้มากๆ จึงจะเกิดปัญญา

ส่วนไอ้ปัญญาที่ไปวิเคราะห์วิจารณ์ว่า นี่สวย นี่ไม่สวยตรงไหน นี่เพราะอะไรถึงไม่สวย คิ้วมันหนาไปมั้ง หรือจมูกมันสั้นหรือเปล่า  เนี่ย ไม่ต้องไปวิเคราะห์วิจารณ์  ยิ่งติด ยิ่งหลง ยิ่งมีความรู้ที่หลากหลายเป็นศาสตร์ได้หลายไปเลย  

แต่ศาสตร์ที่สำคัญคือศาสตร์ว่าสภาพขันธ์ตามจริงที่เป็นไตรลักษณ์ ชั่วคราวแล้วดับ ๆ  สติสมาธิปัญญามันจึงจะได้เห็นสภาพขันธ์ส่วนนี้ ในแง่มุมนี้ ปัญญาในแง่นี้ ... เพราะนั้นแง่มุมปัญญาที่เราพูดตรงนี้ท่านเรียกว่า ภาวนามยปัญญา 

เพราะฉะนั้นส่วนจินตามยปัญญาคือ เอ๊ ทำไมผมถึงขาวนี่ มันขาวเพราะอะไร มันมีเหตุปัจจัยอะไร มันประกอบกันยังไง รูปทรงนี้ทำไมถึงสวยถึงไม่สวยยังไง ...นี่คือจินตามยปัญญา คิดดีเป็นดี คิดบวกเป็นบวก คิดลบเป็นลบ คิดกุศลก็เป็นกุศล คิดอกุศลก็เป็นอกุศล ยังอยู่อย่างนี้

เพราะงั้นในการพิจารณาโดยจินตามยปัญญาก็ให้จินตาในลักษณะที่เป็นกุศล  ถ้านักภาวนาก็จินตาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อความละวาง ปลดปล่อย จางคลาย เบื่อหน่าย

แต่ถ้าลักษณะของภาวนามยปัญญาโดยตรง คือในแง่ที่ว่า...ชั่วคราวแล้วก็ดับๆ ไม่ต้องว่าเลยสักคำ  ไม่ต้องคิด ไม่ต้องหาเลย ...ดูอย่างเดียว เห็นอย่างเดียว ให้เห็นของสองสิ่ง ... แล้วดูไอ้สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ที่รู้เห็นเนี่ย มันเป็นยังไง ให้มันแสดงไป ใจมันก็จะรู้เองเห็นเอง

ใจรู้เองเห็นเองนะ ... ไม่ใช่เรารู้เราเห็นนะ  ไม่มีเรารู้เราเห็นนะ มีแต่ใจมันรู้เองเห็นเองนะ  พอใจมันรู้เองเห็นเอง ใจปล่อยวางเองนะ ไม่ใช่เราบอกให้มันปล่อยนะ ไม่มีใครบอกให้มันปล่อยนะ ไม่มีใครบอก เฮ้ย อย่าเอานะ อย่าทำนะ ไม่มีใครว่าเลย ไม่มีเราว่าเลยนะ ใจมันปล่อยของมันเอง 

พอเราสั่งว่าเฮ้ยปล่อยทำไม จับดิ ยึดดิ เอาดิ  มันไม่เอาอ่ะ คิดต่อดิ ..ไม่คิด  บังคับยังไงก็ไม่ไปแล้ว  เนี่ย ใจที่มันรู้แล้วเห็นแล้ว รู้เองเห็นเองแล้วเนี่ย  ให้มันติดอีกมันไม่ติดน่ะ ให้มันไปเอามันไม่เอา  เพราะใจมันจะรู้ มันกลัวๆ ...กลัวอะไร  กลัวเป็นทุกข์ กลัวจะไปจมอยู่กับทุกข์อีก มันไม่เอาแล้ว

แต่ตอนนี้ เราต้องคอยบอกใจอยู่เรื่อยก่อน อย่าหลงนะ อย่าลืมนะ อย่าเพลินนะ อันนี้ต้องใช้  เพราะใจมันจะติดร่องเดิม...ร่องลุ่มหลงมัวเมา  ไอ้ร่องรู้ร่องเห็นนี่...ยากมาก  

แต่ไอ้ร่องหลง ร่องเพลิน ร่องไป ร่องมา ร่องหายไป ร่องเพลินหายเข้ากลีบเมฆ มันเป็นโดยธรรมชาติของความไม่รู้อยู่แล้ว  ตั้งแต่ตื่นนอนยันกลับเข้ามานอน ทั้งวันรู้ตัวแค่ไม่ถึงสิบครั้ง...โดยธรรมชาตินะ  แล้วก็หายไป ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ 

เพราะฉะนั้นสติธรรมชาติทุกคนมีนะ เวลามีอะไรเกิดขึ้นฉับพลัน ปุ๊บนี่ สะดุ้งแล้วกลับมารู้ ถึงขนาดว่าอยู่กับการรู้ตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง  แล้วมันใช้ได้แค่นั้นน่ะ ให้มันมาเองมันก็มาให้แค่นั้น ... แล้วถ้าไม่ฝึกไม่เจริญขึ้นมาจนสติตัวนั้นน่ะมันเจริญขึ้น มันจะลงร่องเดิม ร่องลุ่มหลงมัวเมา ร่องเผลอร่องเพลิน ร่องปล่อยให้มันเป็นไปตามน้ำ  

หรือพอมาตั้งอกตั้งใจภาวนาก็จะเกิดมีร่องอยากขึ้นมาอีก กระตุ้นต่อมอยากได้ อยากเห็นธรรมรู้ธรรม รู้เร็ว เห็นเร็ว สำเร็จเร็ว เอาง่ายๆ ตรงๆ ชัดๆ ทีเดียว..สำเร็จ ลืมตาขึ้นมา...นิพพานนน... (หัวเราะ) ต่อมนี้จะมาแรง สำหรับนักปฏิบัติเบื้องต้น

ก็ต้องจับมาตอน จับมาทำหมันให้หมด ไม่ให้มันเกิด ...ให้ทันความเกิด ให้รู้ทันความเกิดพวกนี้ ... ไม่ได้ไปฆ่ามันทำลายมันนะ แต่รู้ทัน รู้ทัน ... พอรู้ทันแล้วก็ไม่หลงใหลไปตามอำนาจบาตรใหญ่ของมัน  ก็กลับมาสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่แค่รู้เห็นกับปัจจุบัน นั่งก็รู้ ยืนก็รู้ กังวลก็รู้ ไม่สบายก็รู้ เฉยๆ ก็รู้ 

มันจะเบื่ออาการเฉยๆ นี่แหละ  มันเซ็ง...ง่อม...น่าเบื่อ มันง่อม มันหง่าว มันเหงา  เอาแล้ว หาอะไรทำดีกว่า  หาอะไรคิดดีกว่า ฮื้อ หาอะไรดูดีกว่า เงี้ย ...มันอยู่กับอารมณ์กลาง หรืออารมณ์ที่ธรรมดาไม่ได้ ไม่คุ้นเคย 

เพราะมันติด ติดสุข  ลึกๆ น่ะมันติดสุข เกิดมาเพื่อหาความสุข ...ไม่งั้นมันไม่เกิดหรอก  ไม่มีใครเกิดมาหาทุกข์หรอก ใช่มั้ย ฮึ  เกิดมาอยากเห็นรูปดีๆ อยากเสพสมกับรูปดีๆ อยากใกล้ชิดแนบเนื้อกับรูปดีๆ เสียงดีๆ  แล้วก็จะให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ...นั่นน่ะคือเป้าหมายของการเกิดของจิตที่ไม่รู้ 

ถ้ามันทำได้เป็นเทวดาก็ยิ่งดีใหญ่ ถ้าเป็นถึงพรหมก็ยิ่งดี  แต่ถ้าไม่ได้มันก็หาสุขทุกข์ในโลกนี้ เนื้อหนังๆ  สุขทางเนื้อ สุขทางตา สุขทางกาย สุขทางนั่งนอนสบายกินอิ่ม แค่นั้นแหละ ... มันก็วนเวียนอยู่ในรูปขันธ์นามขันธ์ มันออกจากสุขนี้ไม่ได้

แล้วไม่ยอมออกด้วย ... เหมือนยาเสพติด เหมือนขี้เมาที่ไม่ยอมวางแก้วเหล้า  เหล้าไม่เคยติดเรา เราแหละติดมัน ไม่ยอมวาง  อาจารย์บอกให้วาง บอกให้วาง...ไม่วางๆ ... คือก็อยากวาง แต่มันไม่ยอมวางจะทำยังไง ...ก็รู้ว่าอยากวาง แต่ยังกำอยู่นะ ไม่รู้จะวางยังไง  ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันเมา แต่มันไม่ยอมวางอ่ะ ทำยังไง ...เนี่ย ปัญหา

ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันไม่ดี ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันเมา แต่มันไม่ยอมวาง ... เห็นอะไรก็ยังกำ เห็นอะไรปุ๊บกูกำ จะทำยังไง ... ก็บอกไว้ว่ารู้ไว้บ่อยๆ กำก็รู้ว่ากำ เมาก็รู้ว่าเมา ติดก็รู้ว่าติด ติดมากก็รู้ว่าติดมาก อยากได้มากก็รู้ว่าอยากได้มาก  เห็นมั้ย นั่นแหละมันค่อยๆ ไปแงะออก ทีละซี่ของนิ้วมือที่กำอยู่ ... อื้อหือ กว่าจะแงะออกได้แต่ละนิ้วนี่นะ 

แต่ถ้าเราไม่สนใจใส่ใจที่จะระลึกรู้เห็นอยู่กับมัน นี่ก็จะมีแต่แรงกำไปตามอำนาจความลุ่มหลงมัวเมา ... ทบทวนกลับมาที่ใจด้วยสติ  ไม่ได้ทบทวนด้วยความอยาก ไม่ได้ทบทวนด้วยความคิดคำนึง ไม่ได้ทบทวนด้วยการเมค การเฟค การสร้างขึ้นมา 

ทบทวนด้วยสติคือระลึกรู้ตรงๆ ลงไป เดี๋ยวนี้ ทำอะไรอยู่ ...กายทำอะไร ใจทำอะไร มีอาการใดปรากฏขึ้น เห็นอะไร รู้อะไร รู้สึกยังไง รู้ลงไปตรงๆ ตรงนั้น มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ 

การปฏิบัติต้องตรงลงในปัจจุบันอย่างนี้ ธรรมก็จะตรงให้เห็น ปัญญาก็จะเกิดตรงสิ่งที่รู้สิ่งที่เห็นตรงนั้นแหละ  ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปรอ ....เกิดได้ตรงนั้นเลย

(ต่อแทร็ก 6/4)