พระอาจารย์
6/4 (541211D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
11 ธันวาคม 2554
โยม – พระอาจารย์ ถ้าขันธ์เป็นของแปรปรวน แล้วใจล่ะเจ้าคะ สภาวะขันธ์สภาวะใจต่างกันยังไง
พระอาจารย์ – ใจไม่แปรปรวน
ที่แปรปรวนคือจิต ต้องแยกให้ออก ...จิตแปรปรวน จิตสังขารน่ะแปรปรวน ... วันนี้คิดอย่าง วันนี้เห็นอย่าง
วันนี้คิดอีกอย่าง วันนี้เห็นอีกอย่าง มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
แต่ใจรู้ใจเห็นไม่แปรปรวน
ใจรู้ใจเห็นนะ...ไม่ใช่ใจคิดใจนึก ... ใจไม่ใช่คิด
ใจไม่ใช่นึก อันนั้นเรียกว่าจิตสังขาร ... เพราะฉะนั้นจิตมันจะแปรปรวนไปตามขันธ์
ไปตามผัสสะ
เพราะมันมีภาวะนึงที่เคลือบใจอยู่ คือความไม่รู้
...เมื่อมันมากระทบมันจะผ่านภาวะเคลือบใจอยู่ที่ไม่รู้หรือมีความเห็นผิดต่างๆ นานา
มันจะตอบสนองออกด้วยอาการของจิต...บวกมั่งลบมั่ง
ดีมั่งร้ายมั่ง ถูกมั่ง กังวลมั่ง
อารมณ์ต่างๆ มั่ง ...ก็ตอบสนองไป
ทั้งที่ว่าใจเขาก็นั่งอยู่เฉยๆ
ข้างในนี้ ...แต่ว่าก่อนที่จะมาถึงใจนี่มันผ่านอาสวะที่มันขวางกั้นระหว่างใจกับขันธ์ เพราะงั้นเวลาผัสสะมากระทบ แล้วใจเป็นผู้รับรู้รับทราบ
ใจเป็นประธานนั่งแท่นอยู่นี่ มันมีเสนาข้าทาสบริวารที่สอพลอ ที่เป็นอคติ
ที่มีโมหะคติ ภยาคติ ฉันทาคติ อยู่เต็มเลย
แล้วมันคอยเสนอหน้าแทน เป็นผู้ว่าราชการแทน
ไอ้นี่ไม่ใช่ใจ ... ใจเป็นรูปปั้น
แต่ไม่ใช่รูปปั้นที่ไม่มีชีวิต เป็นรูปปั้นที่ควบคุมระบบของขันธ์ ๕ ทั้งหมด ...แต่มันเข้าไม่ถึงใจน่ะ
มันผ่านเสนาอำมาตย์ชั่วร้าย ... มีความเห็นผิดปุ๊บ นี่ พวกนี้ทำงานแทนหมดเลย เพราะฉะนั้นมันจะไปทำดีทำร้ายอะไร
ผลก็อยู่ตรงนี้ ใจก็นั่ง...
ดีร้ายกูไม่รู้ นั่งแท่นนั่งประธานอยู่นี่
แต่ไอ้ที่ทั้งหมดนี่...รับผลกันไป
เพราะฉะนั้นตัวจิตนี้นี่แปรปรวนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เดี๋ยวพวกนี้เกษียณ พวกนี้มาใหม่ พวกนี้เกษียณพวกนี้มาใหม่ วันดีคืนดี...วันไหนดีล่ะ พอดีไอ้อำมาตย์คนนี้มันดี
คนดีมานั่ง แล้วผัสสะนั้นมากระทบเสนาอำมาตย์ตัวนี้ มันก็ออกมาดี ...พอดีวันนั้นเสนาอำมาตย์ดีไม่มี
มีเสนาอำมาตย์ชั่วร้าย มันก็ออกมาร้าย ...เอาแน่กับมันไม่ได้ อาสวะนี่...มันครอบงำใจอยู่
แต่ในขณะเดียวกันถ้าเรารู้ตรงลงที่ใจ
คือรู้หมดทุกกระบวนการ แล้วมีการเห็นตัวใจอยู่ตรงนี้เสมอ
มันจะให้ค่าให้ความสำคัญกับสิ่งที่จิตมันสร้าง ปรุง ให้ความเห็น ให้ความเชื่อ
ให้เป็นอารมณ์กิเลสต่าง ๆ นานา น้อยลง ... จนถึงขั้นที่เรียกว่าหมดความสำคัญ
หรือความเป็นตัวตนที่แท้จริง ...จริงๆ มันไม่มี .. แค่นั้นแหละ
แต่เพราะเรายังลังเลสงสัย ยังดูเหมือนมีตัวมีตนจริงๆ เหมือนจิตเป็นเรา
เราเป็นจิตอยู่ เข้าใจมั้ย
มันเลยมีความเป็นสัตว์และบุคคลที่จิต ..จึงมีคำว่า ‘จิตเรา ตัวเรา’ ข้างใน
จิตเราก็เกิดจากการที่เข้าไปสำคัญจิตเป็นสัตว์และบุคคล เป็นตัวตน เป็นเรา
เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
ตัวใจเป็นตัวใจที่เป็นสภาวะธาตุรู้ ไม่มีความเป็นสัตว์และเป็นบุคคล เข้าใจมั้ย ...
มันจะเข้ามาไล่ลำดับญาติเข้ามาเรื่อย
พอเห็นตรงนี้เป็นแค่อาการไม่ใช่ความเป็นสัตว์เป็นบุคคลปุ๊บ มันจะเห็นจิตอนัตตา
เห็นจิตเป็นอนัตตา คือเห็นความคิด ความปรุงแต่ง เห็นสิ่งทุกอย่างที่เกิดมา
ตอบสนองออกมาเป็นแค่เนี้ย (เสียงพ่นลม) ...เป็นเหมือนพ่นลมออกมา แค่นั้นเอง
จะว่าอะไรดี จะเรียกอะไรดี ไม่ทันเรียก..ดับแล้ว
เพราะฉะนั้นจะมาอาศัยพวกนี้มาบงการการกระทำของกายวาจาไม่ได้แล้ว
ไม่เหลือแล้ว ...จนหมดสิ้น หมดสิ้นอาการที่ตอบสนองออกมา นั่นแหละคือการชำระอาสวะที่ห่อหุ้มใจออก
ใจจึงจะหมดสิ้นซึ่งความปรุงแต่ง
เพราะนั้นอาสวะไม่ได้อยู่ข้างในใจนะ
มันอยู่ข้างหน้านี่ ...เราเคยเปรียบแล้วไงว่าเหมือนกับน้ำน่ะ แล้วเอาห่อพลาสติกใสๆ
มาหุ้มไว้ แล้วมันดูเป็นก้อนนึง ...ใครบอกว่ากิเลสอยู่ภายในใจ มันไม่ได้อยู่ภายในใจ
แต่มันห่อหุ้มใจไว้
เมื่อใดที่แกะพลาสติกออก พรวด...หมดเลย
รูปทรงของน้ำที่ว่านำไปใส่...ไม่มี
น้ำอยู่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีตัวตนที่ชัดเจน ไม่มีรูปลักษณ์รูปทรงที่แท้ ... หาใจไม่เจอแล้ว แต่มันมีอยู่
มีสภาวะเป็นธาตุรู้ธาตุเห็นอยู่ในความดูเหมือนว่างนั่นแหละ...แต่ไม่ใช่ว่าง
แต่ตอนนี้พวกเราอยู่กับใจที่มันห่อหุ้มด้วยอาสวะ
...อันนี้ใจของพระอนาคานะที่ว่าใจใสนี่ ... ไอ้ของพวกเราไม่ใช่เห็นพลาสติกใสอย่างงี้นี่
มันเห็นทั้งขันธ์เลยนี่ มันเห็นความคิดนี่รอบอยู่อย่างนี้
แล้วก็ไปบอกว่าความคิดนี่ของเรา อารมณ์ที่มันรอบอยู่นี่ของเรา แล้วก็บอกเนี่ยเป็นใจ
นี่ใจเราเป็นอย่างนี้ ...นี่โง่เต็มๆ
กว่าจะคัดลอกออก
คัดลอกออกจนเหลือแค่ใจใสน่ะ ใจรู้เฉยๆ อยู่ภายใน ...นั่นยังห่อหุ้มด้วยอาสวะเลย
เป็นใจจำเพาะกาย จำเพาะจิตนี้ ก็ยังไม่ถึงที่สุดของใจ ... ก็ค่อยๆ ลอกไปอีก
แบบที่เราเคยบอกว่าลอกหัวหอมไง อยากรู้ว่าใจอยู่ไหนไปลอกหัวหอมดู
พอถึงที่สุดของเปลือกแล้วนั่นแหละ..ใจ
ไม่มีอะไร ไม่มีที่ไหน ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีสัณฐาน ไม่มีประมาณ ไม่มีรูปลักษณ์
ไม่มีรูปทรง ...หัวหอมมันเกิดมายังไงล่ะ ก็ไปหาดูดิ ...ไม่เจอ แต่มันเกิดมาได้นะ
นั่นแหละชีวิต มีอยู่ในสรรพสิ่ง
ไม่แบ่งแยก แบ่งแยกไม่ได้ ไม่มีประมาณ ครอบสามโลกธาตุ เหนือสามภพ เรียกว่าเหนือโลก
เหนือธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นธรรมที่เหนือธรรมทั้งหลายทั้งปวง
เพราะงั้นภาวะนี้ ใจดวงนี้
ลักษณะของใจเช่นนี้ คือใจนิพพาน คือใจหลุดพ้น
คือใจบริสุทธิ์ คือใจที่ไม่กลับมาสู่การเวียนว่ายตายเกิด
ไม่หาอะไรมาครอบ...เป็นหย่อมๆๆๆ
แต่คนที่อยู่ในหย่อมในที่ถูกอะไรครอบอยู่นี้
รูปกาย รูปสัตว์ครอบไว้นี่ เวลาตายแล้วมันยังมีความหมายมั่นในกอบกำของใจดวงนี้อยู่
ที่มันยังอดไม่ได้ที่จะไปหาดินน้ำไฟลมมาห่อหุ้ม เพื่ออาศัยดินน้ำไฟลมนี้
ไปแสวงหาเวทนาสุขทุกข์ที่มันยังต้องการหรือไม่ต้องการต่อ
เพราะฉะนั้นไอ้ตัวความปรารถนาที่ต้องการหรือไม่ต้องการต่อ
คือไอ้ตัวที่ห่อหุ้มดวงจิตนี้แหละ ... ถ้าแก้ไม่ถูกที่ แก้ไม่ถูกจุด
มันไม่มีทางสลัดออกได้ ออกจากรูปออกจากนามนี้ได้เลย
เพราะงั้นเบื้องต้นเราต้องมาสำคัญลงที่ใจก่อน
แยกออกเป็นส่วนๆ กันไป ...นี่คือหน้าที่ของสติสมาธิปัญญา
เพื่อให้เห็นองคาพยพของขันธ์โดยตลอด ... แล้วจากนั้นไประหว่างที่มีชีวิตอยู่
เรียนรู้วิถีแห่งขันธ์ เรียนรู้วิถีแห่งใจ เรียนรู้วิถีแห่งจิต ...ก็จะเห็นวิถีขันธ์
วิถีจิต วิถีใจ เป็นอย่างไร
สุดท้ายมันจะเห็นวิถีขันธ์ วิถีจิต
วิถีทั้งหมดของผัสสะที่กระทบสัมผัสภายนอกภายใน เป็นวิถีของไตรลักษณ์ ...ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เป็นแก่นเป็นสาร จับต้องไม่ได้ นั่นแหละ...ทิ้ง
วิถีนั้น ไม่หลงแล้ว
จากนั้นจึงมาจำแนกแยกวิถีใจจนชัดเจน ...ไอ้นี่ใจ ‘เอ๊ะ ทำไมยังทุกข์ ทำไมยังต้องมีผู้รู้
ทำไมยังต้องมีคนรู้’ เนี่ย มันจำแนกแล้ว
เข้ามาจำแนกตัวมันเอง แยบคายในตัวใจอีก ...นี่เป็นงานของพระอริยะเบื้องสูง
จึงจะปอกเปลือกใจออก
ถ้าใจไม่มีเปลือกมันก็ไม่มีใจ
ถ้ามีใจก็แปลว่ามีทุกข์ เพราะมันเป็นใจที่อยู่ตรงนี้ ...ถ้ามันมีที่ตั้งของใจนั่นแหละคือที่ตั้งของทุกข์ เมื่อไม่มีที่ตั้งของใจ นั่นแหละไม่มีที่ตั้งของทุกข์
ไปยืนอยู่ในอวกาศดิ ยืนได้มั้ยล่ะ ...ยืนไม่ได้
ไม่รู้จะยืนตรงไหน มันโล่งหมดน่ะ มันหล่นหมดน่ะ ...แต่ถ้ามีอะไรเป็นวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ก่อกุมจับตัวรวมกัน
ไม่ว่าจะละเอียดจนถึงปราณีตที่สุด
มันต้องมีที่ตั้งของทุกข์นั้นได้หรือของอาการนั้นได้ สามารถตั้งอยู่ได้
เมื่อใดที่มีตรงไหนที่อาการนั้นสามารถตั้งอยู่ได้
ตรงนั้นแหละเป็นที่ตั้งของทุกข์ ... ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระพุทธเจ้าสอนธรรมที่เข้าไปสู่ความดับที่เหตุนั้นๆ ... นี่ที่พระอัสสชิ
กล่าวกับพระสารีบุตร
เพราะฉะนั้นการเข้าไปดับเหตุที่สุดของเหตุนั่นแหละ
เหตุที่สุดของเหตุนั่นแหละคือใจ ใจผู้รู้นี่แหละ ... เมื่อใดหมดสิ้นใจ
เมื่อนั้นหมดสิ้นทุกสรรพสิ่ง เมื่อใดเข้าสู่ความไม่มีใจปรากฏ
เมื่อนั้นแหละเข้าสู่ความสิ้นสุดไปของสรรพสิ่ง
ไม่ได้คิดไม่นึกเลยนะ
มันไปของมันอย่างนั้น มันเข้าไปทำลายตัวของมันเอง เข้าไปทำลายฐาน
บังเกอร์ .. คือมันมีบังเกอร์กูก็หลบอยู่ในบังเกอร์น่ะ
เพราะว่าอยู่ในบังเกอร์นั้นกูไม่ตาย ถ้าออกนอกบังเกอร์แล้วกูตาย จะสลัดบังเกอร์ทิ้งกูก็ตาย มันกลัวมันตาย
มันกลัวใจมันตาย มันก็ทะนุถนอมใจไว้...ไม่ยอม ในขั้นสุดท้ายนี่ มันทะนุถนอมใจรู้ กิเลสตัวสุดท้าย อาสวะขั้นสุดท้าย ...ต้องอาศัยอาสวขยญาณเท่านั้น
จึงจะยอมละตัวรู้ จึงจะปล่อยผู้รู้
‘มันเป็นรู้เฉยๆ ไม่ได้รึไง
ทำไมต้องมีผู้รู้ล่ะ ก็รู้ ..ก็รู้ก็แค่รู้ ทำไมต้องมีผู้รู้’ แต่ทุกครั้งที่รู้มันจะมีผู้รู้ ...แก้ไม่ได้หรอก ต้องอยู่กับมัน
ต้องอาศัยมันไปก่อน จนถึงที่สุดของผู้รู้ผู้เห็นนั่นแหละ
มันถึงจะทิ้งตัวมันเอง มันถึงจะสลัดขั้นสุดท้าย
แต่เบื้องต้นสลัดขันธ์ก่อน
ให้เหลือแต่ผู้รู้...นี่ยังยากจะตายชักอยู่แล้ว ... สอนแล้วสอนอีก บอกแล้วบอกอีก
สักพักหนึ่งก็ไหลหลงเผลอเพลินแล้ว ไปหานั่นทำนี่ ไปเอาอย่างนั้น จะทำอย่างนี้
จะพิจารณาอันนั้น จะไปภาวนาอันนั้นดีไหม ตัวนั้นเร่ง ช่วยสนับสนุนเกื้อกูลมั้ย เอาแล้ว
อย่าไปเสียดายสภาวธรรม
...ให้มันสั้นลงลัดตรง รู้มันเข้าไป เอาผู้รู้ไว้ อยู่กับผู้รู้
อยู่กับผู้เห็น อะไรเกิดขึ้นรู้
อะไรเกิดขึ้นเห็น ไม่มีอะไรก็อยู่ที่รู้ ไม่มีอะไรก็อยู่ที่เห็นนั่นแหละ
จี้มันลงไปข้างในนั่น จี้มันเข้าไป
หยั่งเข้าไป ไม่มีอะไร ไม่รู้อะไร ขี้เกียจจะรู้อะไร หยั่งมันเข้าไปข้างในนั่นแหละ
อยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปอยู่ที่อื่น
เอาแค่ตัวเดียวนั่นแหละ เอาให้อยู่ก่อน ...ปัญญาหลากหลายดั่งมหาสมุทรสายธาร
เกิดขึ้นตรงนั้นแหละ
เหมือนน้ำในแม่น้ำทั้งโลกนี่ไหลรวมลงมหาสมุทรเดียวกัน
บอกให้เลย ...แล้วน้ำจากในโลกนี่มันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากมหาสมุทร ไปเป็นฝน
แล้วก็ตกลงมาเป็นแม่น้ำ แล้วแม่น้ำก็กลับมาลงที่มหาสมุทร
ไม่ต้องไปหาที่อื่นหรอก
อยู่ที่นี่แหละ อยู่ที่ผู้รู้ผู้เห็นนี่แหละ...ที่เดียว ความรู้นี่หลั่งไหลเลย
แจ้ง แทงตลอดหมดแหละ สามโลกธาตุ มีอะไรที่มันไม่รู้มั่ง ...มันรู้จนว่ามีอะไรที่มันไม่รู้บ้าง
ถ้าได้เข้าถึงภาวะที่เรียกว่าเป็นมหาสติขึ้นมานี่ มีอะไรบ้างที่มันไม่รู้ ...ไม่มีเลย
ทุกขณะไม่ว่าอะไร...จะภายนอก
ไม่ว่าอะไรจะภายใน ไม่ว่าอะไร ไม่มีเคลื่อน ไม่มีเล็ดลอดที่จะไม่รู้กับมันได้เลย และเมื่อรู้ไม่เล็ดลอดออกมาที่จะไม่รู้ได้เลย จะเห็นทุกอย่างที่มันรู้ตรงนั้นดับไปในปัจจุบัน
เนี่ยความรู้มันหลั่งไหลอยู่ที่ตรงนั้นแหละ
ความรู้เห็นเป็นไตรลักษณ์ ความรู้เห็นเป็นอนัตตา
ความรู้เห็นที่เป็นไปเพื่อความดับสูญ ดับสิ้น ไม่มีตัวตน หาตัวตนไม่เจอ ...อยู่ตรงนั้นน่ะที่เดียว
จึงบอกว่ามันไม่มีอะไรที่มันไม่รู้
มันจึงบอกว่าไม่มีอะไรที่สงสัย เพราะมันรู้จนไม่มีอะไรที่มันไม่รู้น่ะ
มันจะสงสัยกับอะไรดี ...มันไม่สงสัย มันเห็นหมดเลย ตลอดเวลา
นั่นมหาสติขั้นมหาปัญญา
ถึงขั้นไม่ต้องหลับไม่ได้นอนแล้ว จิตมันตื่นตามันตื่นโพลงอยู่อย่างนี้
มีอะไรมั่งที่มึงจะผ่านสายตากูไปได้ เพราะมันมองอยู่ตลอดอย่างนี้ ใช่มั้ย
ไอ้พวกเราตอนนี้น่ะ...คร่อก ตบกะโหลกทีก็ตื่นที แล้วก็... ‘ตื่นทำไม หลับต่อดีกว่า’ เนี่ย มันอยู่อย่างนั้น
มันใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้น หลับหูหลับตาเดินน่ะ...ตาใจมันหลับ ตานอกมันตื่นอยู่หรอก
ตานอกมันก็ส่ายส่องไปดูผู้หญิงผู้ชายกันไป แต่ตาในน่ะหลับตลอด
แต่มหาสตินี่ ตาข้างในนี่มันตื่นอยู่อย่างนี้ บอกให้มันหลับมันก็ไม่หลับ ตามันแข็งอยู่อย่างนี้
แต่มันไม่ได้แข็งด้วยอำนาจหรือฤทธิ์ยาใดๆ ...แต่ด้วยอำนาจของสติสมาธิปัญญา
มันตื่นรู้ตื่นเห็นอยู่ตลอด
หลับมันยังตื่นเลย มันยังรู้เลย ... ตื่นขึ้นมามันทบทวนหมด ตั้งแต่ก่อนนอน กำลังนอน ระหว่างนอนมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น...รู้หมดน่ะ
ใจมันไม่หลับ ...มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นที่มันตื่นรู้อยู่ตลอด
มันรู้ไม่ได้รู้เพื่ออะไร ไม่ได้รู้เพื่อเอาสภาวะอะไร
หรือรู้เพื่อเอาชื่อเอาเสียงเอาคุณสมบัติญาณวิเศษใดๆ ...มันรู้เพื่อให้เห็นว่ามีอะไรมั่งที่ไม่ดับ
มีอะไรมั่งที่เสถียร ... มันรู้มันตื่นเพื่อจะเห็นว่ามีอะไรมั้ยที่มันดำรงอยู่
...นั่นแหละไม่มีเลยน่ะ มันไม่มีเลย เกิดตรงไหนดับตรงนั้นๆๆ
มันเห็นอยู่อย่างเดียวแค่นั้น
ไม่เห็นอย่างอื่นเลยนอกจาก...เกิดกับดับ ไม่เห็นชาย ไม่เห็นหญิง ไม่เห็นสัตว์ ไม่เห็นดี ไม่เห็นโทษ
ไม่เห็นคุณ ไม่เห็นประโยชน์ ไม่เห็นควร ไม่เห็นไม่ควร ไม่เห็นใช่ ไม่เห็นถูก ไม่เห็นผิด...แต่เห็นว่าอะไรเกิดแล้วมันก็ดับ
มันเห็นแค่นั้นจริงๆ
มีแต่เกิดกับดับ กับดับกับเกิด
เกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิด อยู่ตรงนั้นน่ะ ไม่ว่าอะไร มันเห็นแค่ตรงนั้น มันมีความหมายเดียวอยู่แค่นั้น
จึงเรียกว่ามันเห็นไตรลักษณ์ครอบคลุมสามโลกธาตุ ... ไม่ได้คิดแต่มันเห็นอย่างนั้นจริงๆ
ใจที่มันอยู่ตรงที่ตรงฐานมันแล้วนี่
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไตรลักษณ์ให้มันเห็นต่อหน้าเลย
ไอ้นี่คิดแทบตายยังไม่เห็นว่ามันไม่เที่ยงยังไง
ต้องวาดนึกภาพไปตั้งแต่เกิดจนไปเผา ‘อ๋อ
ไม่เที่ยง’ เห็นมั้ย มันถึงเห็นว่าไม่เที่ยง ...ตอนนี้ดูยังไงมันก็ว่าเที่ยง
ต้องคิดไปจนถึงเข้าเตาเผาแล้ว ตัวนี่หายไปจากโลกนี้ค่อยว่า ‘เออ
ไม่เที่ยง’ เห็นมั้ยกว่าจะเห็นความไม่เที่ยงของมัน
แต่พอฝึกไปฝึกมาเนี่ย
กายลุกเดินขยับปุ๊บนั่งปุ๊บ เห็นความไม่เที่ยง ความดับไปในปัจจุบัน นี่ชัด เร็วขึ้นแล้ว
พอถึงที่สุดที่เหลือแค่ใจนี่ พั่บๆๆๆๆ นี่...เห็นไตรลักษณ์ทุกขณะจิต
มันถึงรู้รอบโดยตลอดสามโลกธาตุสามภพเลย ...ถ้ามารอแค่ลุกยืนเดินนั่งนอนกายขยับเกิดดับๆ
โอย กว่าจะครบสามโลกธาตุนี่อีกหลายชาติเลย
แต่ในโลกธาตุของจิตนี่ไวมาก หมุนเหมือนจักรผัน
เหมือนเครื่องยนต์ เขาเรียกอะไร Killing machineน่ะประมาณนั้น ดำเนินการโดยอัตโนมัติ ‘มึงอย่าได้โผล่อย่าได้ผุดมาเลย
ดับหมด’ ไม่ได้ไปดับเลยนะ
ไม่ได้มีใครเข้าไปดับ ...มันเห็นปัจจยาการการเกิดดับในที่อันเดียวกัน
เกิดตรงไหนดับตรงนั้น ไม่ต้องหาที่ดับ...มันดับตรงที่เกิดน่ะ
ไอ้พวกเราต้องรอแทบตายกว่าจะเห็นความดับ
หรือว่าเมื่อไหร่มันจะดับ หรือมันจะดับยังไง มันจะดับโดยอะไร มันดับที่ไหน
จะทำยังไงมันถึงจะดับดี ... เยิ่นเย้อนะนั่นน่ะกว่าจะเห็นความดับในแต่ละเรื่องน่ะ
ต้องรอ เยิ่อเย้อ ...แต่ตรงนั้นน่ะ เกิดตรงไหนดับตรงนั้นๆ ขนาดนั้น
โดยปัจจยาการมันสั้นอยู่แค่ขณะเดียว เห็นปฏิจจสมุปบาทในแค่ขณะจิตเดียว
ไม่มีน่ะ...ปัจจยา ผัสสะ ปัจจยานามรูป ปัจจยาเวทนา ปัจจยาสังขาร ปัจจยาภพ
ปัจจยาชาติ อุปาทาน ตัณหา มันหลายปัจจยาการ
เหลือปัจจยาการเดียว เกิด-ดับๆๆๆ ... คือมึงโผล่มึงดับๆๆ นอกนั้นก็เป็นแผ่นภาพ...เป็นแผ่นที่ไม่มีชีวิต
ทั้งหมดน่ะเป็นแผ่นภาพวาดที่ไม่มีชีวิต
จึงจะเข้าใจความหมายว่า
กายสักแต่ว่ากาย จิตสักแต่ว่าจิต เวทนาสักแต่ว่าเวทนา ขันธ์สักแต่ว่าขันธ์
โลกสักแต่ว่าโลก มีสักแต่ว่ามี เป็นสักแต่ว่าเป็น ... นั่นแหละ
ไม่มีปัญหากับสิ่งพวกนี้แล้ว เล็กน้อยมาก เหลือแค่ตรงนี้ความปรุงแต่งภายในที่มันจะกระโดดไปจับ
ไปให้ค่า ไปคาด ไปหวัง ไปหมายมั่น
จนมันหมด..หมดสิ้นกำลังของมันน่ะ
หมดเหตุปัจจัยปรุงแต่งภายใน หมดสภาวธรรมที่เรียกว่าสังขตธาตุ ...จนเหลือแต่อสังขตธาตุ
อสังขตธรรม เหลือแต่ธรรมที่ไม่อาศัยความปรุงแต่งใดๆ
ทั้งสิ้น เรียกว่าอสังขตธาตุคือใจ อสังขตธรรมคือใจโดยบริสุทธิ์
ไม่ใช่ใจที่ยังปนเปื้อนอาศัยอยู่กับสังขตธาตุสังขตธรรม
เพราะฉะนั้นตัวสังขตธาตุสังขตธรรมนั่นคือเจตสิก
นั่นคืออาสวะทั้งหมด เป็นธรรมปรุงแต่ง เป็นธรรมที่ต้องอาศัยความปรุงแต่ง ถ้าไม่มีความปรุงแต่งจะไม่เกิดสภาวธรรมขึ้น ... เข้าใจมั้ย คำว่าสังขตธาตุกับอสังขตธาตุนี่
ทั้งหมดที่เราสัมผัสสัมพันธ์อยู่นี่คือสังขตธาตุ
คือเป็นธรรมที่เกิดขึ้นด้วยอาศัยความปรุงแต่ง ...ยังมีธรรมอีกลักษณะนึงที่เป็นธรรมที่เหนือความปรุงแต่ง
ท่านเรียกว่าอสังขตธาตุ อสังขตธรรม
อสังขตะ นั่นคือใจแท้
เป็นธาตุที่ไม่อาศัยความปรุงแต่ง ...ก็ดำรงอยู่ในความที่เหมือนกับไม่มีการดำรงอยู่
ท่านจึงเรียกว่าเป็นโลกุตรจิตโลกุตรธรรม มันเป็นจิตที่เหนือจากโลกียะ ...ไอ้โลกียะนี่คือจิตสังขารทั้งหมด
ตัวโลกุตรจิตโลกุตรธรรมนี่คือภาวะใจเดิมใจแท้ ใจประภัสสร
เพราะฉะนั้นการล้างนี่มันเป็นการปหาน ...คำว่าปหานคือหมายความว่าฆ่าแล้วตาย
ตายก็หมายความว่ามันไม่กลับมาอีก คือจะไม่กลับเข้ามาอาศัยมันอีก
จึงเรียกว่าเป็นปหานตัพพธรรม
คือไม่อาศัยธรรมที่ต้องอาศัยความปรุงแต่งเป็นที่ตั้ง ไม่กลับมาใช้กับมันอีก
จนถึงที่สุดของปหานคือเรียกว่าเป็นสมุจเฉท
อันนี้คือฆ่าล้างโคตร เจ็ดชั่วโคตร ตายหมด คือไม่มีเชื้อไม่มีเงื่อนแล้ว
ไม่มีเงื่อนไขแห่งการเกิด ...ใจไม่สามารถจะพาไปเกิดกับอะไรได้อีกโดยสังขตธรรมเป็นตัวนำไปเกิด
เพราะมันหมดตัวที่เป็นสังขตะเข้ามาครอบงำใจ
...คือมันชำระๆ ขัดๆๆ เกลาๆๆ ล้างๆ ลบออก เหมือนดีลีทฟอร์แมทฮาร์ดดิสก์จนว่างเปล่า
จนหมดข้อมูลน่ะ ... ข้อมูลทั้งหมดนั่นแหละเป็นเหตุแห่งการเกิด ไม่จบไม่สิ้น ...จำได้หมายรู้นั่นแหละ และให้ค่าตามสิ่งที่จำได้หมายรู้นั่นแหละ ทั้งหมดเลย
ละเอียดมากจนถึงมากที่สุดเลย ประณีต
ประณีตถึงขั้นที่เรียกว่าหมดสิ้นซึ่งคำบรรยาย มันละเอียดเกินกว่าภาษามนุษย์จะอธิบายได้
มันละเอียดเกินกว่าภาษาบัญญัติที่จะไปบัญญัติมันทัน
หรือให้รายละเอียดถึงสภาวะที่สุดของใจนี้ได้
บอกอย่างเดียวว่าแค่รู้นี่แหละ
แค่รู้เดี๋ยวนี้ รู้อยู่ที่นี่ รู้อยู่ที่เดียวนี่แหละ ...แต่สำคัญว่ารู้ให้จริง
รู้ให้ต่อเนื่อง รู้ให้เป็นนิจ ไม่มีอะไรที่จะมาขัดขวางขบวนการของปัญญาได้เลย
ที่มันขัดขวางตัวเดียวคือขี้เกียจ...ขี้เกียจรู้บ่อยๆ 'ไปหาอะไรทำดีกว่า' มันจะอ้างตรงจุดนี้
ขี้เกียจ เบื่อ ไปหาอะไรทำแล้วมันได้ผลดีกว่า ทั้งภายนอก ทั้งการภาวนาแบบอื่น
ทั้งการที่ว่าไปเที่ยวไปเล่น...ด้วยตา หู จมูก ลิ้น แสวงหาภายนอก...หาโลก ...มันรู้สึกว่าได้อะไรมากกว่า
นั่นน่ะมันจะไปติด เสียเวลาเพราะตรงนั้น ...แต่ถ้ารู้ๆๆๆ
เอารู้ไว้ ไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้เลย ไม่มีอะไรมาขวางกั้นความเห็นจริง เห็นแจ้ง เห็นชอบในธรรม
เห็นควร เห็นธรรมตามจริง
เพราะนั้นผู้ใดที่รู้อยู่เสมอ รู้อยู่เป็นนิจ
จึงจะพ้นจากบ่วงมาร ... ผู้ใดมีสติรู้เท่าทันใจ จึงจะข้ามจากวัฏสงสาร
หลุดออกจากวัฏสงสารได้
ไม่เป็นเหยื่อให้เขามัด ให้เขาคล้อง ...ความจริงเขาไม่ได้มัด
เราแหละไปมัดเขา
ต้นไม้มันอยู่ของมันอยู่ดีๆ นี่
ก็ไปกอดเขาซะยังงั้นน่ะ รถก็ตั้งอยู่เฉยๆ นี่ก็บอกว่าของเราซะยังงั้นน่ะ รถก็คือรถ
... “ไม่ใช่อ่ะ รถของฉัน” นี่ว่าเข้าไป “ใครอย่ามายุ่งนะ นั่งเกินสิบคนไม่ได้นะ
รถเก๋งของเรา” ... รถมันไม่ได้ว่า มีแต่เราแหละว่า
กว่าที่เราจะเรียนรู้ความเป็นจริงนี่
เราจะต้องฝ่าฟันความเชื่อความเห็นเหล่านี้ ที่มันใช้ในพื้นฐานของมนุษย์โลกเลยน่ะ แล้วละออก ...เท่าทัน และยอมละมัน
ยอมละความเห็นเช่นนั้นซะ
ดูเหมือนสูญเสียนะ สูญเสียความเป็นเจ้าของ ดูเหมือนต้องสลัดทิ้งนะ ... เสียดายไหม...เสียดาย อันไหนที่รักมากเสียดายมาก
อันไหนที่หวงมากไม่ค่อยยอมปล่อย
นั่นแหละ ต้องทานทน อดทน ฝึกฝน เคี่ยวกรำ...กับสิ่งที่มันยึดมั่นถือมั่นภายในเช่นนี้แหละ โดยที่ว่าไม่ท้อถอยเสียจนหมดกำลัง หมดแรงใจ
หมดพลังก็หมายความว่า ‘ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว ช่างมันหัวมันเถอะ ปล่อยให้มันเป็นของมัน’ นั่นแหละมันลงอีหรอบนั้นน่ะ
นักภาวนาผู้แก่กล้า สุดท้ายถูกโลกบดกลืนไป ... พอมันทุกข์ๆๆๆๆๆ ก็ ‘เฮ้ย ไปหาอาจารย์ดีกว่า ให้อาจารย์เคาะเผื่อจะดีขึ้นมั่ง’ … ก็แค่นั้น
ต้องอดทนมากๆ ด้วยกำลัง...ยืนด้วยปลีแข้งของเจ้าของ...ให้มาก
เตือนตัวเองบ่อยๆ “อยากกลับมาเกิด
อยากกลับมาเป็นเจ้าของอะไรอีกหรือ กว่าจะหามาก็ยาก ดูแลรักษาก็ยิ่งยาก หมดไปหาใหม่ก็ยาก
...ยังอยากจะเอา จะมีกับมันอีกเหรอ” ... นั่น ต้องคอยสอน คอยบอกกับมัน
แล้วกลับมา ‘ไม่เอาอะไรอ่ะ ไม่เอาอะไรนอกจากกายใจ
แค่นี้กูก็จะบ้าตาย ที่หลงกับมันอยู่...ผมของกู หน้าของกู ตัวของกู ตัวของเรา
เดี๋ยวก็สวย เดี๋ยวก็ไม่สวย เดี๋ยวก็ดำเดี๋ยวก็ด่าง เดี๋ยวก็ต้องหาอะไรมาลบ’ (เสียงโยมหัวเราะว่า “ฝ้าขึ้น”)
มันหย่อนมันยาน ก็ต้องมีเดย์ครีมไนท์ครีมอะไรเยอะแยะ
มาทามาโปะ โบ๊ะๆๆๆ (หัวเราะกัน) เพื่อให้มันใสขึ้น ...มีเครื่องวัดความใสอีกนะ แหม
มันช่างสรรหากันมาให้ลุ่มหลง ก็ติด...ติดกันเข้าไป
ไอ้พวกเราก็กระหายเหมือนหมาหิวน่ะ
มีอะไรก็โดดงับเลย เตรียมเลย เตรียมพร้อมว่าเมื่อไหร่จะมีของใหม่ๆ มา...หลอกกูอีก
มันแอบวงเล็บปิดท้ายไว้ว่า “หลอกกูอีก”
คือยินยอมให้เขาหลอกอยู่ตลอด
หาเลยนะ คอย เหมือนหมาหิว
เหมือนหมากับกระดูก เหมือนหมาที่คาบเนื้อวิ่งข้ามน้ำน่ะ เนื้อมีอยู่ก้อนนึงในปาก
แต่เห็นเงาเนื้อในน้ำ ว่าก้อนนั้นใหญ่กว่า ทิ้งเลยก้อนเนื้อในปาก ...คือทิ้งปัจจุบันขณะนั้น
แล้วก็คิดคาดหมายเอาว่าเนื้อที่อยู่ในน้ำใหญ่กว่า ดีกว่า น่าอร่อยกว่า
สุดท้าย โบ๋เบ๋ ไม่ได้อะไรสักอย่าง
หิวโซอีก กลายเป็นหมาหิวอีก อยู่อย่างนั้นน่ะ ...เนื้อในปากมีอยู่แล้วไม่เอา
ไม่พอดี ไม่พอดีซักทีอ่ะ มันเป็นโรคอะไร
เป็นโรคกิเลส เป็นโรคตัณหา
เป็นโรคอุปาทาน ...มันเกาะกุมอยู่ที่หัวใจ ล้างไม่ออก ล้างไม่หมดซักที
มีแต่สนับสนุนปรนเปรอมัน คล้อยตามมันอยู่เสมอ มีรึมันจะไม่มีกำลัง มีรึมันจะไม่แข็งแรง
มีรึมันจะแก่ตายไปเอง...ไม่มีหรอก
มีแต่ศีลสมาธิปัญญาเท่านั้นแหละที่คอยเป็นดาบ
เป็นมีด เป็นเสียม เป็นจอบ เป็นพลั่ว...คอยแซะ คอยงัด คอยง้าง คอยดึง คอยแกะ คอยลอก
คอยเปลื้องปลดออก
แต่ผู้อยู่อาศัยนี่มันละเลย ไม่รู้จักหว่าน ไม่รู้จักไถ
ไม่รู้จักทำนา ไม่รู้จักที่ดิน ไม่รู้จักทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว ไม่ขุดข้นแสวงหาขึ้นทำขึ้นด้วยจอบมีดเสียม...เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา
เนื้อนานี้ นี่ๆ จึงไม่เป็นเนื้อนาบุญ
จึงไม่เป็นเนื้อนาของพระอริยะ จึงไม่เป็นเนื้อนาของสุปฏิปันโน ...มันมีเนื้อนาแต่มันใช้เนื้อนาไม่เป็น
จึงไม่เป็นเนื้อนาบุญของโลก
ทำไมท่านถึงเปรียบพระอริยะเป็นเนื้อนาบุญของโลก
เพราะท่านใช้เนื้อนานี่เป็น เมื่อหว่านไถพรวนแปลงลงกล้าด้วยศีลสมาธิปัญญานี่
เนื้อนานี่ได้ผลผลิตที่ดี แจกจ่าย แบ่งปัน เกื้อหนุน สงเคราะห์ด้วยธรรม
ด้วยผลแห่งธรรม นั่นแหละ ท่านใช้เป็น จึงเปรียบว่าพระอริยะนี่เป็นเหมือนเนื้อนาบุญของโลก
แต่พวกเรามันเป็นเนื้อนาเลว ...มีเนื้อนาบุญ
แต่ไปทำเนื้อนานั้นให้เลว ผลผลิตออกมาก็เลว แล้วก็เอาความเลวมาโอ้อวดแข่งขันประชันกัน
จนเบียดเบียนกัน ข่มเหงกัน ยกตนข่มท่านใส่กัน ด้วยผลงานต่างๆ การกระทำ คำพูด
ความคิด เห็นมั้ย มันเป็นผลนะนั่นน่ะ ผลจากการที่ลงไถลงพรวน แต่ไม่เอาพันธุ์ดีลง
เอาพันธุ์เลวๆ ลงไป แล้วก็เอาผลเลวๆ มาอวด
พระพุทธเจ้าถึงเปรียบว่าต้องใช้เนื้อนานี้ให้ถูกให้ควร
เป็นเนื้อนาบุญที่มีอยู่แล้ว...คนละแปลง คือขันธ์ห้า คือกายใจ ...ทำยังไงถึงจะอยู่กับกายใจนี้ด้วยศีลสมาธิปัญญาให้มากที่สุด
ให้พอดีที่สุด ให้ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินไปในอดีต-อนาคตได้มากที่สุดเมื่อไหร่ นั่นแหละ
ใช้เนื้อนานี้เป็น
ผลผลิตไม่ต้องกลัว...งอกงามเอง
ไม่ต้องไปหวังผลเลย ขอให้ลงไถปักหว่านด้วยศีลสมาธิปัญญาแล้ว
ยังไงๆ ก็ได้ข้าวกิน ไม่มีทางปลูกข้าวเป็นงา หรือเป็นอะไรที่มันไม่ตรง
มันกลายพันธุ์
ศีลสมาธิปัญญา รู้ตรง
เห็นตรงลงไปที่กายนี้ใจนี้ ผลออกมา...ตรง ไม่เป็นอื่น ตรงคืออะไร...เกิดตรงไหน
สุดท้ายมีความดับไปเป็นธรรมดา ...นั่นล่ะตรงที่สุดแล้ว ไม่มีผลเป็นอื่น
‘ไอ้นั่นดี ไอ้นี่สงบมาก โหย นี่เกิดความเห็นชัดเจน
รู้มากมายมหาศาล’ ...ไอ้นี่เห็นไม่จริง
เพราะมันยังเห็นไม่ถึงที่สุดว่า...สุดท้ายมันก็ดับ
เห็นให้ตรง ลงหว่านไถให้ตรง ...ศีลสมาธิปัญญาให้ถึงที่ตรงที่สุดแล้วนี่
จะเห็นถึง ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่
แล้วดับไป’ ไม่ว่าอะไร ดีก็ดับ ร้ายก็ดับ เป็นคุณก็ดับ
เป็นโทษก็ดับ กิเลสก็ดับ อยากก็ดับ ไม่อยากก็ดับ เป็นของเราก็ดับ
ไม่เป็นของเราก็ดับ เออ ดูซิมันมีอะไรไม่ดับ
นี่ มันเห็นอย่างนั้น เรียกว่าเห็นตรง
เห็นชอบ เป็นสัมมาญาณ ความรู้ความเห็นนั้นเรียกว่าเป็นญาณ
ญาณแปลว่าความหยั่งรู้ หยั่งรู้ในธรรม ...ไม่ใช่ไปหยั่งรู้ในชาติอดีต-อนาคตของคนนั้น
เกิดมาเป็นหมา เป็นแมว เป็นพระราชา เป็นเทวดา เป็นพระ อะไรพวกนี้
ไอ้นั่นไม่ต้องไปหยั่งรู้หรอก
มาหยั่งรู้ในธรรมที่ปรากฏ
ด้วยญาณทัสสนะที่บริสุทธิ์แจ่มใส นี่เรียกว่าปรีชาญาณ นี่เรียกว่าปัญญาญาณ นี่เรียกว่าญาณทัสสนะ
นั่นแหละที่ต้องการ ...ไม่ได้ไปรู้เห็นอะไรเลย รู้เห็นอย่างเดียวว่า มันเกิดแล้วก็ดับไป
ไม่มีอะไรเกินกว่าความดับไป ...ที่สุดของธรรมนั้นไม่มีที่สุดกว่าความดับไป
ไม่ใช่ว่านั่งแล้วสงบ
แล้วจะถึงที่สุดของความสงบ คือสงบจนไม่มีตัวไม่มีตน สงบยิ่งลึกซึ้งไป นั่นไม่ใช่ที่สุดของความสงบนะ ที่สุดของความสงบคือ...เดี๋ยวมันก็ดับ เออ
นั่นแหละที่สุดจริง
แต่ถ้ายังหลงในความสงบ ก็จะมีการทำให้มันยิ่งกว่าๆๆ ...นี่หลงอีกแล้ว นี่เห็นธรรมไม่ตรง นี่เห็นธรรมแบบบิดเบือน
นี่เห็นธรรมแบบเข้าไปปรุงแต่ง ไม่ได้เห็นธรรมแล้วหยุดอยู่กับที่
ไม่เห็นธรรมด้วยความพอดี
มันเห็นธรรมด้วยความเป็นเหมือนขอทานยาจก ไม่รู้จักพอ ...มันมีความอยาก
มีความกระหายในธรรมที่มันยิ่งๆ ขึ้นไป
...................................