วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 6/26 (1)


พระอาจารย์
6/26 (550106D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 มกราคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ภาวนาน่ะสำคัญที่ใจ ...ใจจะได้มาด้วยสติ...จะเกิดขึ้น ปรากฏขึ้นด้วยอำนาจของสติ ...จะออกมาอาศัยใจนี้ทำงานได้ต้องมีสมาธิและปัญญา เห็นมั้ย มันขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้หรอก

แต่เบื้องต้นที่เราบอกให้รู้ไว้ รู้มากๆ คือโดยนัยยะ ...แต่ถ้าไม่เฉลียว มันก็รู้ไปเรื่อย ...เพราะนั้นแรกๆ เราก็จะจำเพาะอยู่แต่ให้รู้กาย เพื่อให้มันเกิดความรู้ชัดในกาย รู้ชัดกับกาย

รักษารู้ไว้ ตั้งมั่น ให้มันตั้งมั่น ...การเห็นโดยองค์รวม การเห็นกายเป็นกายจะเกิดขึ้น ...เข้าใจคำว่าเห็นกายมั้ย  รู้กายเห็นกาย รู้จิตเห็นจิต รู้ธรรมเห็นธรรม รู้เวทนาเห็นเวทนา

เพราะนั้นสติเบื้องต้นนี่ มันรู้กาย...แต่มันยังไม่เห็นกาย คือมันรู้อ่ะ ยืนเดินนั่งนอนนี่มันรู้ ...แต่ยังไม่เห็นว่ามันเป็นกายจริงๆ  มันยังเห็นว่ารู้ว่า “เรา” เดิน  “เรา” นั่ง  “เรา” นอน  “เรา” ขยับ

เพราะนั้นไอ้รู้แค่รู้ สติแค่รู้ตรงนี้ มันยังไม่รู้กายเห็นกาย มันแค่รู้กาย...แต่ยังไม่เห็นว่าเป็นกาย เข้าใจมั้ย นั่นแหละเรียกว่าสติปัฏฐาน รู้กายต้องเห็นเป็นกาย รู้จิตต้องเห็นเป็นจิต รู้ธรรมต้องเห็นเป็นธรรม รู้เวทนาต้องเห็นว่าเป็นเวทนา

เห็นมั้ย ไอ้ตัวที่เห็นว่าเป็นกายนั่นแหละคือปัญญา...รู้กายว่าเป็นกายจริงๆ ไม่ใช่กายเรา ...ต้องแยบคายนะ ต้องโยนิโสมนสิการ


โยม –  มันห็นแวบๆ แบบมันแค่นิดเดียวเท่านั้นเองน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  คือมันยังไม่ชัด มันยังไม่ตรง แล้วมันไม่ตั้งมั่น  เดี๋ยวก็แวบๆ ไป รู้ก็หาย ...เพราะนั้นถ้าใจมันตั้งมั่น สมาธิมันตั้งมั่นเพียงพอ  ไอ้สิ่งที่เห็นนี่ มันจะเห็นกายเป็นกายชัดเจน

การชัดเจนนั่นแหละเป็นผลจากสติสมาธิตั้งมั่น  มันก็เห็นกายเป็นกายชัดเจน เป็นสักแต่ว่าไหว สักแต่ว่าขยับ ...เพราะนั้นไอ้ตัวอาการที่ว่าขยับ มันก็เป็นสักแต่ว่าขยับ ไม่ใช่เราขยับ

แล้วพอทำความชัดเจนมากขึ้นไปเรื่อยๆ จากนั้นน่ะ...ไม่มีขยับ มันจะเห็นกายในกาย เข้าไปเรื่อยๆ ...เคยได้ยินมั้ย เห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม เห็นเวทนาในเวทนา

เบื้องต้นต้องรู้กายเห็นกาย รู้จิตเห็นเป็นจิตก่อน ...พอมันเริ่มรู้ว่าเป็นกายจริงๆ แล้ว เห็นว่าเป็นกาย แล้วนี่ ...จากนั้นไปนี่ มันจะเห็นกายในกายนั้น ปั๊บ..นั่ง เห็นว่านั่ง...ไม่มีใครนั่ง ...นี่เห็นกาย

และเห็นอะไรในนั่ง เห็นนั่งไหม...อ้าว มันไม่ได้ว่านั่งนี่ อย่างนี้  ก็เป็นอาการที่ไม่มีคำพูด ที่ไม่มีสมมุติ ที่ไม่มีบัญญัติ ...มันก็เลยไม่มี “นั่ง” ในที่ว่ากายนั่ง

ก็ไม่มีกายนั่ง ไม่มีนั่งในกาย เห็นมั้ย มันเห็นเข้าไปในกายนี่ ...พอเห็นไม่มีนั่งในกาย มันก็เป็นแค่กาย เห็นกายจริงๆ แล้ว เริ่มเห็นกายตรงลงไปแล้ว

เอ้าดูไปดูมา...ก็ไม่มีกาย ไม่มีกายซะอย่างนั้นน่ะ ในกายที่ว่าเป็นกายก็ไม่มีกาย ...กายเป็นอะไร กายไม่ได้เป็นดินน้ำไฟลม กายเป็นสมมุติ ...มันกลายเป็นสมมุติซะอย่างนั้นน่ะกาย

คำว่ากายเป็นสมมุติ เห็นมั้ย พอมันเห็นในกายไม่มีกาย เห็นไม่มีกายในกาย ...มันเหลือแต่อะไรว่างๆ อยู่ในนั้น...ว่างจากภาษา ว่างจากสมมุติบัญญัติ ว่างจากความหมายใดๆ ทั้งสิ้น

ขนาดนั้นยังไม่สุดเลยนะ ในส่วนของธรรมที่เรียกว่า “กาย” นี่ ...เดี๋ยวมันก็วึ้บ..ดับ วึ้บ..ดับ เปลี่ยน..ดับๆ นั่น จากที่ว่าไม่มีบัญญัติ ไม่มีสมมุติแล้วนี่ ...มันไม่มีอะไรจริงๆ ในนั้นเลย...สูญ

นั่น อนัตตา...กายเป็นอนัตตา เห็นกายในกายเป็นอนัตตา อะไรๆ ที่อยู่ในกายนี้เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนที่แท้จริง แป๊บหนึ่ง ชั่วคราว ดับ สูญ ตลอด

นั่น ตั้งมั่นอยู่ที่ตรงนี้ แล้วก็เห็นกายเป็นกาย รู้กายเห็นกาย แล้วก็เห็นกายในกาย แล้วก็เห็นที่สุดของกาย...กายนั้นดับ จะเห็นกายดับ ...มันดับตรงสมมุติก่อน แล้วมันดับในตัวของมันเองอีกทีหนึ่ง

เหมือนกันหมด จากนั้นไป เวทนา จิต ธรรม...เรื่องเดียวกัน ธรรมเดียวกัน เป็นอันเดียวกันทั้งรูปและนามอย่างนั้นแหละ ...ปัญญามันก็จะแทงเข้าไปตลอด ในกายนี้ ในนามนี้ ในรูปนี้ในนามนี้

เพราะนั้นถ้าดูกายละเอียดไปเรื่อยๆ นี่ อยู่ในที่อันเดียวในกายนี่ ไม่ออกไปนอกอื่นเลยนี่ ...ต่อไปนี่ จะเห็นรูปกายดับ มันจะไม่มีทรวดทรงหลงเหลืออยู่ ไม่มีรูปทรงรูปร่างหน้าตาเหลือเลย

เพราะเวลาเราเห็นนี่ มันจะติดขึ้นมาด้วยรูปที่จำได้ ว่ารู้สึก ว่าไหว ...มันจะเห็น รู้สึกเห็นถึงภาพของแขนไหว แล้วก็จะมีความรู้สึกในแขนนี่ไหว เข้าใจไหม 

เพราะนั้นมันยังไม่ใช่กายจริงๆ เป็นรูปกายเข้ามาประกอบด้วยสัญญา ...ยังมีจิตปรุงแต่งด้วยนะ ขนาดเห็นขนาดนี้ ก็ยังแอบมีจิต ...เห็นมั้ยว่าธรรมยังเคลื่อนอยู่นะ

ธรรมมันยังเคลื่อนอยู่ คือกายนี้ยังเคลื่อนจากความเป็นจริงอยู่ ด้วยการเข้าไปปรุงแต่งของความไม่รู้ ...มันก็เลยไปว่าแขนนี่ไหว ยังมีความรู้สึกว่าแขนนี่ไหว

ดูไปเรื่อยๆ ตรงที่ความรู้สึกที่กายตรงลงไปๆ จะเหลือแค่ความรู้สึกล้วนๆ ...รูปกาย รูปนี่มันจะบางลงๆ จนไม่มีรูปกาย เหลือแต่ความรู้สึกทางกายล้วนๆ ที่ไม่มีคำพูด ไม่มีภาษา เป็นกายวิเวก

เหมือนหนาว เย็น นี่ ถ้าไม่ต้องไปคิดไปปรุงอะไรเลยนะ จับปุ๊บนิ่งปุ๊บกับหนาวนี่ ...มันจับต้องไม่ได้เลย ไม่มีที่ตั้งน่ะ มันเป็นแค่ความรู้สึกหนาวๆ ขึ้นมาเท่านั้นน่ะ

ไม่มีหนาวแขน หนาวขา หนาวหน้า หนาวมือเลย  มันเป็นหนาวจริงๆ ที่ปรากฏขึ้นเท่านั้นเอง..กับรู้ ...ถ้ามันเห็นกายตรงลงไปที่กายนะ มันทะลุผ่านรูปไปเลยน่ะ

ปัญญามันแทงแล้วทะลุผ่านรูปไปเลย แล้วมันก็สักแต่ว่าหนาว กายเหลือสักแต่ว่าหนาว ...แล้วตรงนั้นน่ะ จากหนาวไปนี่กลวง ไม่มีแก่น ไม่มีแก่นในหนาว กลวง โบ๋เบ๋

ถึงมันตั้งมันหนาวอยู่ ก็กลวง ตั้งแบบกลวงๆ ...เพราะมันเห็นข้างในหนาวนั้นอีก...ไม่มีอะไรในหนาว ไม่มีตัวตนในหนาวที่แท้จริง มันเป็นแค่ตั้งอยู่กลวงๆ

มันทะลุเข้าไปถึงความว่าว่าง ความว่าสูญ ตลอด ไม่มีอะไรเป็นสาระในอาการที่ตั้งอยู่...ไม่ว่าจะสมมุติว่ากายหรือสมมุติว่านาม

ขันธ์ห้านี่เป็นขันธ์ห้าโดยสมมุตินะ ...พอทำลายสมมุติบัญญัติของขันธ์ห้าแล้วนี่ จึงจะเห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริง จนถึงที่สุดของความจริง...คือไม่มีขันธ์ห้า ทั้งสมมุติและทั้งปรมัตถ์

ความรู้พวกนี้ ความเห็นพวกนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากนึก คิด น้อม จำ วิเคราะห์ คิดหา ...เกิดจากญาณทัสสนะ คือรู้และเห็นด้วยใจที่เป็นกลาง นั่น เข้าใจคำว่าสัมมาทิฏฐิไหม แปลว่ารู้ชอบเห็นชอบ 

รู้กายเห็นว่าเป็นกายนี่ก็สัมมาทิฏฐินิดๆ  นี่ยังนิดๆ นะ ...พอเห็นเข้าไปในกายอีก ว่าไม่เห็นกายในกาย  นี่ก็สัมมาทิฏฐิสักครึ่งหนึ่งแล้ว รู้ชอบเห็นชอบครึ่งหนึ่งแล้วนะในคำว่า “กาย” นี้ 

พอเห็นกายไม่มีอะไรในกายแล้ว ว่าง ดับ สูญ  นั่นน่ะคือตัวตนที่แท้จริงของกาย คือสูญ ไม่มีอะไรในกายนี้...ทั้งสมมุติทั้งปรมัตถ์ ...นั่นแหละสัมมาทิฏฐิที่สุด รู้ชอบเห็นชอบโดยตรงที่สุด

เพราะนั้นสัมมาทิฏฐิจึงเป็นหนึ่ง รู้เห็นเป็นหนึ่ง...ไม่มีสอง ไม่มีความเห็นที่สองออกมาเลยในธรรม  จึงเรียกว่าเป็นหนึ่ง ธรรมนั้นเป็นหนึ่ง

แม้แต่สัมมาทิฏฐิเบื้องต้นก็ยังเป็นหนึ่ง แล้วมันก็เกลาหนึ่งนั้นลงไปเรื่อยๆ ...จนหนึ่งจนเรียกว่าหนึ่งจริงๆ โดยเที่ยงแท้โดยสัจจะ คือหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย เป็นหนึ่งนั้นแหละ

จึงจะเรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิโดยสมบูรณ์ เข้าสู่ที่สุดของความรู้ชอบเห็นชอบ เพราะนั้น ไอ้ตรงนี้ ที่รู้แค่นี้ เห็นกายๆ  นี่เรียกว่าสัมมาอาชีโว เป็นการงานนะ ...อย่าออกนอกการงานนี้

เพราะนั้นไอ้ตัวที่มาจะทำการงานนี้ได้...ก็คือสติศีลสมาธิปัญญาเท่านั้น จึงจะมาทำงานนี้ได้ ...จนถึงที่สุดของผลงานก็คือสัมมาทิฏฐิ ที่สุดของสัมมาทิฏฐิ

ถ้ายังสงสัยว่ามันอะไรดี จะดูว่ามันเป็นยังไงดี จะเห็นมันเป็นอะไรดีนี่ ...นี่มันยังเป็นมิจฉาล้วนๆ แค่เข้าไปเจตนาคิด เจตนาเห็นกับมันนี่

คือธรรมดาที่มันอยู่กับเรามาตั้งแต่เกิดนี่ มันถูกพอกเอาไว้น่ะ ...เหมือนโยมโบ๊ะหน้านี่ คือตื่นนอนขึ้นมามันโบ๊ะหน้ามาตั้งแต่เกิดน่ะ คือฟังโฆษณามามาก เขามีสารพัดครีม

มีเดย์ครีม มีกันฝ้ากันแดด กันเปื้อนกันซึม โอ้ย มีหลายกัน ไม่รู้มันจะกันอะไรนักหนา นี่ เอาแล้ว ได้ยินมามาก โฆษณามันแรง คนใช้เขาก็มาสนับสนุนว่าเห็นผล ...ก็เอาเลย ซ้ำลงไป โบ๊ะ โปะ ปิด บัง กัน

แล้วเดินไปเดินมากันนี่ เหมือนลิเกหลงโรงว่ะ ตลก แต่มันเดินยิ้มแป้นกันทั้งโลกเลย ...แต่จริงๆ เหมือนลิเกมันหลงโรงอยู่ เอ้า หัดล้างหน้าซะบ้าง ...แค่ล้างหน้าออก แล้วมันก็จะเจอโดยธรรมชาติที่มันเกิดมา

ที่ว่านี่ของเรา เราเป็นหญิง เราเป็นชาย เราสวย เราหล่อ เราไม่หล่อ มันติดมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว นี่ก็เรียกว่า ถ้าเรารู้แค่นี้ๆ ก็เรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิเบื้องต้นแล้ว ...อย่ารู้เกินนี้ อย่าเห็นเกินนี้

แล้วก็ทำงานไป...ขัด เหมือนขัดออกน่ะ ไอ้ที่มันแต่งไว้ตั้งแต่เกิดนี่ เอาว่าหน้าแท้หน้าจริงมันหน้าไหนแน่วะ หน้ากูนี่ ...เหมือนกับเอาความเห็นผิดนี่ออก ชำระออก ขัดออก...ด้วยศีลสมาธิปัญญา

ทำงานเดียวนี่นะ ...ไม่ใช่ทำไปทำมา หยิบหนังสือมาอ่าน หาโบรชัวร์มาดู ฮึ กลัวว่าหน้าจริงจะไม่สวยเหมือนที่เขาเดินกัน หรือมันธรรมดาเกินไป มันต้องเมคอัพนิดนึง ...เอาแล้ว

ลิปมันหน่อยนึง เขียนคิ้วจึ๊กนึง นี่ ถึงจะดูไปวัดตอนสายๆ ได้ไม่เขินไม่อาย ...เห็นมั้ย มันติดธรรมนะ ติดสังขารธรรม ติดสภาวธรรมนะ ติดคุณธรรมนะ ติดดีนะ ติดภาพของนักปฏิบัติ

ผู้ใดลอกหนังหน้าออกหมด ถึงหน้าเดิมหน้าแท้หน้าจริง..ที่ไม่มีหน้าไม่มีตา ไม่มีตัวไม่มีตนแล้วนี่ ...พอมาเห็นพวกเหล่านี้ ก็ว่าตลกเว้ยเฮ้ย ลิเกเดินเต็มถนนเลย 

บางคนก็สวมชฎา บางคนก็ประดับเพชรประดับพลอยเข้าไปซะอีก ...โยมรู้สึกไหม โยมไปรู้สึกดูว่าเห็นคนหนึ่งแต่งลิเกแล้วเดินอยู่กลางถนน เดินในตลาดนี่ โยมมองด้วยอาการยังไง


โยม –  ตลกค่ะ

พระอาจารย์ –  แอบยิ้มด้วยนะ แอบนึกว่าบ้ารึเปล่าวะเนี่ย มันมาจากไหน  นี่ เวลาพระอริยะท่านมองคน ท่านเห็นเป็นอย่างงั้นนะ ...แต่คนมันก็บอกว่าหนูปกติดี ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

แต่เวลาถ้าลอกหนังหน้าออกแล้ว ...ท่านลอกตัว ท่านลอกตน ท่านลอกความเป็นเรา ท่านลอกความเป็นของเราออกแล้ว  ท่านจะเห็นเลยว่า...ไอ้พวกนี้ผิดปกติ มันบ้า มันเมา กำลังเมา เมาเมคอัพ

อะไรเป็นเมคอัพ อะไรเป็นตัวแต่งเติมเสริมไว้...คือมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นต่างๆ นานา ...แล้วมันก็สรรหาความเห็น ความคิด สร้างสรรค์แต่งแต้ม เติมสีสันเข้าไป ...นั่นแหละเขาเรียกว่าจิตปรุงแต่ง

นี่ ดูหนังสือนี่...พื้นเดิมของหนังสือคือกระดาษเปล่า ...แต่ถ้าวาดเขียนลงสีเข้าไปสิ มันก็มีข้อความปรากฏ มันมีรูปภาพปรากฏ นี่...เข้าใจคำว่าจิตปรุงแต่งไหม

หนังสือเล่ม มันปรากฏขึ้นอย่างนี้ ไม่เหมือนกัน นี่คือธรรมชาติของสิ่งที่ปรากฏขึ้นตามเหตุปัจจัยอันควร มันจะเป็นสีขาวก็ได้ มันจะเป็นขนาดนี้ อาจจะบางหรือหนากว่ากันก็ได้ อันนี้แล้วแต่มันปรากฏขึ้นมา 

แต่จากนี้เปิดเขียนใหม่ เติมเข้าไป ...แล้วแทนที่เราจะใส่ใจกับการดำรงคงปรากฏของความเป็นจริงตรงนี้ กลับไปใส่ใจกับข้อความรูปภาพในกระดาษ 

เห็นไหมว่าสิ่งที่แต่งแต้มเติมเข้ามานี่ มันมาปิดบังความเป็นจริงของอันนี้ ว่าธรรมชาติตามความเป็นจริงของมันคืออะไร ...มันก็เลยเกิดการให้ค่าให้สาระตามที่รูปภาพหรือข้อความในนี้ที่จะเขียนอะไร 

ทั้งหมดนี่เกิดจากอำนาจความปรุงแต่ง ทั้งจิตตัวเองนี้ที่ไม่รู้ และจิตคนอื่นที่ไม่รู้เหมือนกัน ...ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า นี่หนังสือเล่มนี้เขียนดี ข้อความในนี้ดี ข้อความในนี้ใช้ได้ ถูก 

แต่เราบอกว่า...นี่ มันเป็นแค่นี้ เราเห็นแค่นี้ ...นอกนั้นเราบอกว่า เติม และไม่จริง ไม่มีอะไรจริงนอกจากนี้ ที่เราถืออยู่ตรงนี้...ขันธ์ห้านี่ โลกนี่ เขาปรากฏเท่านี้ ...นอกนั้นไม่จริง 

เพราะนั้นที่ปรากฏตรงนี้ เราถือได้แป๊บเดียว ...ที่เห็นนี่ กายเป็นกายนี่ ไม่เหลือ ไม่เกินร้อยปี ไม่เหลือ นี่เห็นกายในกาย อันนี้จริงที่สุด

กว่าจะเริ่มไม่เชื่อถือตัวหนังสือตรงนี้ กว่าจะไม่เชื่อความเห็นของจิตปรุงแต่ง กว่าจะยอมรับว่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ กว่าจะบอกว่ามันไม่จริงนี่ ...แทบรากเลือดนะ

เพราะคนในโลกเขาใช้กันมาแต่เนิ่นนานกาเล เราก็ใช้มาแต่เนิ่นนานกาเล กรรม สีสันวรรณะที่มันแต่งแต้ม จนเป็นความเคยชิน จนเป็นสันดาน

จนเหมือนว่าเป็นธรรมดา จนเหมือนว่ามันเป็นปกติของจิต ...แล้วใช้ประโยชน์จากมัน ได้ผลเป็นสุขเป็นทุกข์กับมัน  เกิดติดเกิดข้องในผลที่ได้ คือสุขบ้างทุกข์บ้าง


(ต่อแทร็ก 6/26  ช่วง 1)



แทร็ก 6/25


พระอาจารย์
6/25 (550106C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 มกราคม 2555


โยม –  พระอาจารย์คะ อย่างรู้สึกความเคลื่อนไหวน่ะค่ะ  เรารู้สึกถึงความเคลื่อนไหว แล้วเรามีตัวรู้ที่ไปรู้ กับตัวที่เราเห็นอาการใหญ่ๆ อย่างนี้ มันต่างกันไหมคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ต่างกันหรอก ไอ้สิ่งที่ถูกรู้คือสิ่งที่ถูกรู้ มันไม่ต่างกันหรอก ...คือหน้าหนึ่งมันเป็นพระเอก อีกหน้ามันอาจจะเป็นผู้ร้ายก็ได้

คือตัวละคร ในวงละครนี่ มันจะเป็นตัวไหนก็ได้ หน้ามันไม่เหมือนกันหรอก ...เพราะนั้นไอ้รู้สึกเล็ก รู้สึกน้อย หรือรู้สึกว่ามันใหญ่มันเล็กนี่ มันก็คือสิ่งหนึ่งที่ถูกรู้เหมือนกัน มันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

แต่ “รู้” ไม่เปลี่ยน ให้จำไว้เลย อันอื่นนะเปลี่ยน นอกจาก “รู้” ไปนี่...เปลี่ยนหมด เอาแน่ไม่ได้ ไม่มีถูกไม่มีผิด ...มันมีถูก มันมีจริงอยู่ที่เดียวคือรู้ คือผู้รู้ผู้เห็น มันมีเท่านั้นน่ะ แล้วมันไม่ไปไม่มา ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่มากไม่น้อย


โยม –  แต่ว่าสิ่งที่ถูกรู้มันจะเปลี่ยนไป

พระอาจารย์ –  เออ พอมันเริ่มสงสัย รู้ไหมว่าสงสัยๆ ...ทำไมรู้มั้ย ถ้าไม่มีสติเท่าทันนะ สงสัยนี่ไหลไปแล้ว เมื่อไหลไปแล้วหมายความว่ายังไง ...โมหะครอบงำใจทันที ใจหาย

ใจผู้รู้นี่ หาย มันหลงไปในความคิด มันหลงไปในความสงสัย มันหลงไปในการตามหาสมบัติพระศุลี มันคิดเอาเองนะใจ มันมีสมบัติหายไป แล้วกูกำลังหาอยู่ ...คือมันกำลังหาออกไป

ระหว่างนั้นน่ะไม่มีใจนะ สติ-สมาธิไม่มีแล้ว ...สติกลายเป็นมิจฉาสติแล้ว สมาธิเป็นมิจฉาสมาธิ คือตั้งหน้าตั้งตาหาอะไรอยู่ ปัญญาก็คิดไป ปรุงไป พิจารณาไป ...ก็เป็นจินตามยปัญญาเลอะๆ เทอะๆ ไม่มีลิมิท ไม่มีประมาณ 

เพราะนั้นถ้าระลึกขึ้นมาใหม่ ตั้งสัมมาสติขึ้นใหม่ รู้ตรงนั้นเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ ...กำลังสงสัย รู้ว่าสงสัย อยู่ที่รู้ว่าสงสัย นี่ สติทันอาการที่มันจะหลงไป

เมื่อมันทันกับอาการไหน รู้ทันอาการที่หลงไปกับอาการนั้น ...แล้วกลับมาตั้งมั่นอยู่ที่รู้ว่ากำลังทำอะไร กายกำลังทำอะไร เอาง่ายๆ เลย กลับมารู้กายนี่

รู้ปั๊บ...กายกำลังทำอะไร ชัดเลย รู้ก็อยู่ตรงที่นั้น...นั่ง เดิน นิ่ง ร้อน เย็น อ่อนแข็ง  ...เพื่ออะไร  เพื่อไล่กลับเข้ามาสู่ใจผู้รู้ผู้เห็นอยู่ ...ไปอีก..รู้อีกๆ ...นี่ สติทำงาน...นั่นน่ะก็ทำงาน

แต่ถ้าไม่มีปัญญานะ มันก็แค่นั้นน่ะ ...ต้องแยบคายลงที่รู้ ผู้รู้ ให้ชัด ให้มาก ให้เน้นๆ ...ไม่งั้นก็ตีนลอย หรือว่าเดินในโคลนน่ะ มันก็จะเป็นเหมือนปรอทน่ะ แพล้บๆๆๆ ...นี่ มันจะตั้งมั่นขึ้นไม่ได้เลย

ถ้ารู้ไปเรื่อยน่ะ รู้..อะไรเกิดขึ้นก็รู้ๆๆ ...แต่ถ้าไม่จับภาวะรู้อยู่ ตั้งมั่นลงที่ใจ...จิตไม่ตั้งมั่น สติมันก็ลุ่มๆ ดอนๆ  เดี๋ยวก็เป็นสัมมาสติบ้าง เดี๋ยวก็เป็นมิจฉาสติบ้าง สลับกัน แยกไม่ออก

อาศัยความรู้ความเข้าใจนี่ คือปัญญาพื้นฐาน เพื่อแยกให้ออกระหว่างสติ สมาธิ ปัญญา และศีลคืออะไร  เข้าใจคำว่าศีลคืออะไรไหม ...ศีลคือปกติ กายปกติ ...ตอนนี้ก็ปกติ

แต่ถ้าอย่างไปนั่งยกมือ...อย่างนี้ไม่ปกติ ...นี่ตั้งใจนะ ถือว่าตั้งใจนะ ถ้าว่าปกติโยมลองไปทำตอนขับรถสิ  เห็นมั้ย มันต้องตั้งใจทำนะ ถ้าไม่ตั้งใจทำ มันไม่เกิดอาการนี้

แต่ว่าถ้าขับรถนี่ถือว่าปกติกายนะ มันก็ทำไปตามเหตุอันควร กายก็ทำของมันไป ขยับ จับ เคลื่อนไหว แข็ง ตึง นี่ปกติกายนะ ก็ให้ปล่อยให้กายเขาเป็นปกติ ...นี่คือศีลนะ

ใจก็รู้ว่ามันปกติน่ะ ไม่รู้เกินนี้ ...ไม่ไปบังคับกดข่ม เพื่อให้มันเป็น เพื่อให้มันไม่เป็น เพื่อให้มันมี เพื่อให้มันไม่มีอะไร นอกจากปกติกายนี้ และก็ปกติกิเลส

กิเลสก็ปกติ ...ยึด ถือ ยังเห็นว่ามันเป็นมือ ยังเห็นว่ามันเป็นของเรา ก็ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของจิตที่มันแสดงอาการคิด อาการนึก ปรุง ...นี่ปกติหมดเลยนี่

สิ่งเหล่านี้มันครอบคลุม...แต่สติก็มี สมาธิก็ตั้งมั่น มีรู้อยู่ ...ภาวนาวนเวียนอยู่แค่นี้แหละ หมายถึงว่ากลมเกลียวเป็นเชือกเส้นเดียวกัน

สุดท้ายสติสมาธิปัญญา ศีลสมาธิปัญญา มันก็รวมอยู่ที่ใจรู้เพียงดวงเดียวนั่นแหละ ...แล้วจากนั้นไป ใจรู้นั่นแหละเป็นผู้ทำงานหมด เป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็น สำเหนียกในอาการในโลก

เหมือนเรานั่งเก้าอี้อย่างนี้ เราไม่ไปไหน โยมมาก็มา โยมไปก็ไป ...นี่เขาไป ก็เห็นว่าเขาไปแล้ว จะตามเขาไปดีไหม ถ้าตามไปมีเรื่องนะ ไม่จบใช่ไหม

ก็อยู่เนี่ย ...จะพอใจ จะดีใจ จะเสียใจ ทนไว้ มันก็จบแค่ตรงนี้ ...นี่เรียกว่าสมาธินะ ใจมันอยู่ ใจไม่ไป จิตไม่ไป ใจมันอยู่ จิตมันก็มารวมเป็นหนึ่งกับใจ ก็ตั้งมั่นอยู่ในที่นี้

เมื่อตั้งอยู่อย่างนี้ไม่ขยับเขยื้อน เดี๋ยวก็เห็นว่างตรงนี้ที่เคยมีคนนั่ง ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว ไม่มี ว่าง ...อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว ...อันนี้ไม่ใช่เราว่านะ ใจมันว่า..อ้อ เข้าใจแล้ว ...ปัจจัตตัง สุดท้ายก็แค่นี้

อ่ะ เดี๋ยวคนใหม่มานั่งอีก ดูอีก ...ไม่หวั่นไหว ไม่ไปดูที่อื่น ไม่พูดไม่คุย ไม่วิเคราะห์วิจารณ์ ...มันก็ไปเองอีกแล้ว ไม่ตามดูนะ ไม่หันไปดูนะ ...อยู่อย่างนี้ หน้าตรง ยืนตรง บล็อกหัวบล็อกตา..ตรง

รู้ตรง เห็นตรง รู้ที่เดียว อันเดียว ตรงนี้ ...มันมีอะไร นั่ง..รู้ กำลังลุก..รู้ ลุกไปแล้ว..รู้  มันมีอีกตัวหนึ่งมา “อยากหันไปดูเว้ย” ...ไม่หัน...แถวตรง รู้ตรงเห็นตรง รู้ชัดเห็นชัดอยู่นี่ตรงหน้า ...นี่สมาธิ

เดี๋ยวเอาอีกแล้ว จิต ส่ายอีกแล้วๆ จิตสังขาร จิตปรุงแต่ง มันเริ่มคิดถึงอดีต ...ดึงมาตรง ตรงนี่ไม่มี ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว ไม่เคลื่อนจากตรงนี้ ไม่ออกนอกนี้ ไม่ออกนอกธรรมอันนี้

ไม่ใช่ธรรมนั้น ไม่ใช่ธรรมโน้น ไม่ใช่ธรรมที่ยังมาไม่ถึง ไม่ใช่ธรรมที่ดับไปแล้ว ...ตรงนี้ที่เดียว ธรรมนี้ธรรมเดียว ใจนี้ใจเดียว จิตหนึ่ง ธรรมหนึ่ง

ตอนนี้ว่าง เดี๋ยวไม่ว่าง ก็รู้ว่าไม่ว่าง อ้าว มันว่างไม่จริงนี่ ...มันมี เอ มันมีไม่จริงนี่ เดี๋ยวก็ว่างอีก มันยังไงกันแน่วะ  ...อ๋อ เข้าใจแล้ว ไม่คิดไม่หา หน้าตรง แถวตรง

สัมมาสติสัมมาสมาธิรวมในที่เดียว เท่านี้  ไม่ได้ทำอะไร ...มีงานเดียว งานเป็นรูปปั้นมองตรงอย่างนี้ ...มึงอย่ามาลากกูออกไปเชียว กูไม่ไป อย่ามาชักชวนกูนะ กูไม่ออก

"ที่นั้นน่าเที่ยวนะ" ...ไม่ไป "ตรงนั้นน่ะ เหมือนนิพพานเลยนะ" ...ไม่ไป นิพพานกูก็ไม่ไป “น่าเบื่อนะ หาอะไรมาตั้งตรงนี้หน่อยสิ” ...ไม่เอา เท่านี้ เท่าที่ปรากฏ ไม่มีก็ไม่มี ทำไม มึงจะตายรึไง...ให้มันตายไป 

เพราะนั้นระหว่างที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ทำอะไรเลย ตรงนี้  ไม่กระดิกกระเดี้ยอะไรเลยนี่ สติสมาธิปัญญา ศีลสมาธิปัญญารวมลงในที่อันเดียว สมบูรณ์ พอดี 

พอดีเป๊ะเลย...เป๊ะ คือไม่เคลื่อนจากธรรม “นี้” ...ถ้าเคลื่อนก็เป็นนี้...มีจุดทศนิยม นี้.5 นี้.6 นี้.8  จนเป็นนั้น ...นั่น เคลื่อนแล้วนะ เคลื่อนจากธรรม

เพราะนั้นถ้าเคลื่อนจากธรรมนี่ ...คำว่าเคลื่อนนี่คือคลาดเคลื่อนจากธรรม ถ้าคลาดเคลื่อนจากธรรมนี่ เราถามก่อนว่าจริงไหม ถ้าคลาดเคลื่อนจากธรรมนี่ก็แปลว่าธรรมมันเคลื่อน มันก็ปนความไม่จริงเข้ามา

เพราะนั้นแค่หันไปตาม...ว่าเขาไปไหน จะไปไหนดีล่ะหือ จะไปบ้าน  จะไปแวะที่บ้านคนนี้ก่อน หรือไปส่งแม่เขาก่อน หรือจะไปเข้าวัด หรือจะไปกินข้าวก่อน หรือไปแวะถ้ำก่อน

เห็นมั้ย ถ้ามันเคลื่อนออกไปจากนี้นะ มันจะเป็นอะไรจริงไหม ความจริงมันจะมีไหม ...เริ่มมีอะไรที่ไม่แน่ใจ เริ่มลังเลสงสัย เริ่มมัวๆ มึนๆ แล้ว เริ่มซึมๆ เบลอๆ แล้ว

แต่ถ้าอยู่ตรง "นี้"...จริง ทุกอย่างจริงหมด ...มันจะมีเท่านี้ มีเท่าที่เห็นตรงนี้ ...แล้วเห็นอะไร ก็ดูไปสิ ...ดูยังไง  ดูเฉยๆ รู้เฉยๆ  อ่ะ เป็นผู้หญิงนั่งอยู่ ๔ คน ...เอ้า มันจริงอย่างนั้นรึเปล่าล่ะ

ก็ดูเฉยๆ สิ ...อืม มันเห็นอะไรตั้งอยู่ ๔ อัน ...เออ อันนี้จริงกว่าเว้ย ใช่ไหม อันนี้จริงกว่า  ก็มันไม่ได้บอกว่านี่ ๔ คนนี่เป็นผู้หญิงนั่งนี่  เออ มันเริ่มเห็นจริงขึ้นแล้วโว้ย

นี่ขนาดไม่ไปไม่มานะ ว่าเห็นตรงนี้นะ ...เอ้า เฮ้ย ไม่ได้เป็นผู้หญิง เป็นคนรึเปล่า เอ้า ไม่ใช่คนนี่ ดูไป มันไม่มีอะไรแวบๆ ออกมาเลยว่าหนูเป็นคน

ก็เห็นอยู่เนี่ย อ่ะ เป็นอะไร ...เป็นรูป เออเฮ้ย เป็นแค่รูปภาพที่เห็น เออ อันนี้จริงกว่าเว้ย ...นี่ เห็นมั้ย เห็นความจริงที่มันลึกลงไปๆ ในธรรมที่ปรากฏไหม ...อันไหนที่ไม่จริง มันคัดออกนี่

อะไรที่มีความเห็นที่มาทาบกับความจริงตรงนี้...คัดออก ...ไปบอกเขาได้ยังไงว่าเป็นหญิง ไปบอกได้ยังไงว่าสวย ไปบอกเขาได้ไงว่าขาว ไปบอกได้ไงว่าดำ ...ไม่มีอะไรตรงนี้นี่

ไอ้นี่มันเป็นแค่...อ๋อ มันมีความเห็นที่เกิดจากจิตปรุงเข้าไปกับรูปนี้นามนี้ ...แต่พอทวนกลับมาอีกที ก็รูปนามนี้เขาไม่ได้มีการบอกว่าเขาเป็นอะไร ...นี่ อันไหนจริงกว่ากัน

มันจะเห็นเลยว่าไอ้นี้ไม่จริง ความเห็นนี้ไม่จริง คิดเอาเอง จำขึ้นมา วิเคราะห์คาดเดาเอา เชื่อเอาเอง อ่านมามาก เขาสอนมาในโลกนี้ ...แต่ความจริงมันมีแค่นี้เอง เป็นแค่รูปที่เห็น เท่านั้นจริงๆ 

ลึกกว่านั้นก็ไม่มีแล้ว ไม่เห็นกระดูก ไม่เห็นเป็นถึงกระดูก ถึงเน่า ...ก็เห็นเป็นปกติของรูป ...เห็นคำว่าปกติมั้ย ปกติของรูปนี่ ทำไมจะต้องให้เห็นไปถึงมันเปื่อย  ถึงจะเห็นเป็นไม่มีใครสวย ไม่มีผู้หญิงสวย

ก็มันเห็นรูปมันมีเท่านี้นี่ ...เอ้า มันก็เห็นอีกแล้วว่า ไอ้นี่คือปรุงต่อในธรรมอีกแล้ว ถลำลงไป  มันเห็นแค่นี้ ก็จะให้เห็นแค่นั้นอีก อันนี้ก็ไม่จริงอีกแล้วโว้ย

ไอ้ตอนแรกว่าเป็นหญิงเป็นชายก็ว่าไม่จริงแล้ว ยังจะให้เห็นไปถึงกระดูกกระเดี้ยวแก่เฒ่าตายไปเลย สูญ ...มันไม่สูญ ก็เห็นมันตั้งอยู่นี่ ไม่เห็นดับ ก็ไม่ดับ

ทำไมจะต้องให้เห็นดับ ก็นี่ปกติเห็นอย่างนี้ ...อ่ะ พอมันอยากเห็นดับ หรือว่าพยายามทำให้มันดับ อ้าว นี่มันปรุงเข้าไปอีกแล้วนี่หว่า...ไม่จริง ก็ทิ้ง อันไหนไม่จริงจะไปเก็บไว้บูชาทำไม ...เอาแต่ความจริงน่ะ 

ปัญญามันก็คัดกรอง ธรรมที่แปดเปื้อนปลอมปน  ที่เกิดจากความปรุงแต่ง จากจิตที่ไปปรุงแต่งในธรรม จากจิตไม่รู้ที่เข้าไปปรุงแต่งกับรูปธรรมนามธรรม

เอ้า แล้วเหลืออะไร ...สักแต่ว่ารู้ ...พูดมาก็สักแต่ว่าเสียง ถ้าพูดมา เอ้าจะบอกว่าเป็นเสียงคนนั้นคนนี้ เสียงผู้หญิงอีก เอ้า ซอยออก ...เข้าใจคำว่าธัมมวิจยะไหม อันไหนไม่จริง คัดออก cut loss

เหลือแต่ธรรมล้วนๆ เป็นแค่คลื่นเสียง กระทบปึ้บ ดับปั้บ ...คือกูตั้งมั่นดูดีแล้ว มึงเป็นแค่เสียง ไม่บอกว่าเป็นหญิงเป็นชายเลย ไม่ได้บอกว่าเพราะหรือไม่เพราะ ไม่ได้บอกว่าชมหรือด่า ปึ้บแล้วปึ้บดับ

เอ้า นี่ความจริงเสียง อันนี้จริงที่สุดแล้ว ...ดูไปดูมา ดูแล้วดูอีก ตั้งมั่นเห็นแล้วเห็นอีก เออเฮ้ย มันมีความจริงแค่นี้เอง ถ้านอกเหนือจากนี้ไป...ไม่จริง

แล้วสังเกตดู ถ้านอกเหนือจากนี้ไปไม่จริงแล้วนะ แล้วมันไปเชื่อว่าจริงนะ ก็ทุกข์ เสียดแทงใจ หรือดีใจ ผิดปกติอีกแล้ว ...แล้วมันจะเก็บไว้ทำไม ก็เอาออก คัดออก get out เหลือสักแต่ว่าเสียง

ทำไมมันถึงจะพิจารณาอย่างนี้ได้ ...ก็เพราะว่าสติสมาธิปัญญาอยู่ในที่อันเดียว คือใจเป็นผู้รู้ผู้เห็น ตั้งมั่นอยู่ภายในนี้แหละ ...นี่ไม่ได้คิดเลยนะ พอเริ่มคิดพอเริ่มหา...รู้อีก 

อ้อ เข้าใจแล้วจิตปรุงแต่ง..ถ้ากูตามมึงทีไรนี่ กูเจ็บทุกที กูตามไปทีไร กูดันหลงไปงมปลาเข็มในมหาสมุทรทุกทีเลย ...ก็ไม่ไปอ่ะ วุ้บ ตั้ง กลับมาตั้ง

ในขณะที่กลับมาตั้ง ไอ้อาการที่จิตปรุงแต่งออกมานี่ คือนามธรรม ๔ นี่ มันจะปรุงมาเป็นความคิดก็ได้ ปรุงขึ้นมาเป็นความจำก็ได้  ปรุงขึ้นมาเป็นความรู้สึกก็ได้

หรือมันจะปรุงขึ้นมาเป็นอดีต-อนาคตก็ได้ ปรุงขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างก็ได้ ปรุงขึ้นมาเป็นวัตถุข้าวของก็ได้ ...เห็นมั้ย มันคือทั้งหมดน่ะของนาม ๔ ก็เกิดจากตรงนี้

ในขณะที่รู้กายอยู่ตรงนี้ กำลังทำงานอยู่ที่กายอันเดียวนี่ ...มันก็ได้เรียนรู้เรื่องของนามธรรมพร้อมกันไปนั่นแหละ ไม่ใช่ไปนั่งจดนั่งจ้องนั่งคอยนั่งเฝ้า นั่งรอนั่งดูจิต

ถ้ามันสมมุติไม่มีอะไรเป็นนามธรรมเด่นชัดขึ้นมา ก็ไม่ได้แส่ส่ายไปหาดูอะไร ...ก็ทำงานเก่า งานเดิม กับของที่มันมี ที่มันตั้งอยู่...กายนี่มันตั้งอยู่จนตายน่ะ

สุดท้ายก็เหลือ...ลมหายใจก็ยังต้องมีน่ะ สืบเนื่องกันไม่ขาดระยะ หรือใครไม่หายใจระหว่างวัน ใครขอพักยก หรือขอเวลานอกไม่หายใจบ้างล่ะ  ลมหายใจมันเคยขอเวลานอกไหม...ไม่มีนะ

กิเลสนี่ยังมีขอเวลานอกนะ ใช่ไหม ...มันไม่ได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงทั้งวันให้เราดูหรอก มันไม่ได้ดีใจหน้าบานเป็นกะละมังทั้งวันหรอก ก็มาแป๊บๆ ชั่วครู่ชั่วยาม

มันมานี่ ...แหมดีเลย สตินี่ตั้งมั่น เห็นเลยว่ามีกิเลสเกิดขึ้น เดี๋ยวกูก็โบกมือลามึงแล้ว จะดูอะไรดีล่ะ ปล่อยเลย ไม่มีกิเลส สบายดี ...เริ่มเพลินแล้วนะ เริ่มมึนแล้วนะ เริ่มไหลแล้วนะ

มันเริ่มหลงไปในอัพยากฤตธรรมเบื้องต้น เป็นโมหะนะ ...แล้วโมหะก็จะซึมซาบเข้ามา เหมือนเมฆกำลังเคลื่อนคล้อยมาปิดบังพระอาทิตย์...มืด  จากนั้นไปไม่ต้องพูด ...อะไรมา อะไรไป ไม่รู้สักอย่าง 

เพลินไปกับความคิดความปรุงเลย เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นเสี่ยวสหายกอดคอร่วมเป็นร่วมตาย เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันมาแต่ชาติไหนไม่รู้ มีสุขร่วมเสพ-มีทุกข์ร่วมต้าน นั่น สัญลักษณ์ของมัน คือกอดคอกันแน่วลงไป

เพราะนั้น สำคัญนะกาย ...เบื้องต้นน่ะถ้าทิ้งกาย สติสมาธิปัญญาหายหมด บอกให้ ...ยังไม่แน่จริงหรอก 

จนกว่าผู้รู้เด่น ตั้งมั่น แล้วแจ้งชัดในกาย นั่น มันจึงจะไปแยบคายในอรูป ...สามารถจะตั้งรู้กับความว่าง รู้กับความไม่มีอะไร ไม่มีอารมณ์ รู้กับโล่งๆ

อย่างอื่นลืมได้ อย่างอื่นทิ้งได้ทิ้งไป ลืมได้ลืมไป หมดได้หมดไป เกิดได้เกิดไป ไม่สน... ถามอย่างเดียวว่า รู้มั้ย มีรู้อยู่มั้ย  ...ถ้ารู้ไม่มี ถ้ารู้หาย...เรื่องใหญ่ เราถือเป็นเรื่องใหญ่

เพราะนั้นไม่ใช่คิดว่ารู้นะ ไม่ใช่คิดเอาเอง คิดขึ้นมาว่ารู้อยู่นะ ไม่ใช่คิดขึ้นมานะ...ต้องรู้จริงนะ ต้องรู้จริงด้วยสติสมาธิปัญญาจริงๆ เป็นรู้จริงๆ ไม่ใช่รู้เล่นๆ

เพราะนั้นถ้าจะรู้จริงรู้ชัด มันต้องเดี๋ยวนี้ทำอะไร กายทำอะไรรู้มั้ย...ให้รู้ลงไป รู้มันก็กระโดดขึ้นมา มันก็โผล่ขึ้นมาจากความมืด ...ตื่นขึ้นแวบหนึ่ง

แต่ถ้าไม่มีสติต่อเนื่อง หรือว่าไม่มีสมาธิปัญญาต่อเนื่องไปนี่ เดี๋ยวมันก็แวบหายไป เพราะนั้นอย่าไปกลัวว่าจะเพ่งหรือว่าจะจ้อง ...ถ้าไม่มีจิตผู้รู้ ถ้าไม่ตั้งลงที่จิตผู้รู้นี่ มันจะไปรู้เห็นเข้าใจอะไร 

มันจะมีใครเข้าใจ เข้าไปละ เข้าไปวางอะไร ...ก็ต้องอาศัยใจผู้รู้นี่ เห็นจนถ่องแท้ ชัดเจน และเข้าใจ แล้วจึงวาง ...ใครวาง ...ไม่มีใครวาง ไม่มีเราวาง ...ใจผู้รู้นี่มันวาง 

มันรู้มันเห็นแล้วมันจึงวาง มันรู้มันเห็นแล้วว่าไม่มีอะไร...มันก็วาง  มันรู้มันเห็นแล้วว่ามันไม่เที่ยง...มันก็ไม่ยึด  มันรู้มันเห็นแล้วว่ามันมีแต่เรื่องที่เป็นทุกข์ 

มันหาความสงบตั้งมั่นในตัวของมัน หรือว่าความคงที่เสถียรไม่มี  มีแต่ความแปรปรวน ...มันเป็นทุกข์ของมันตลอดเวลา มันบีบคั้นตัวของมันเองอยู่ตลอด ...มันก็ไม่เข้าไปถือครอง


(ต่อแทร็ก 6/26)