วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 6/31


พระอาจารย์
6/31 (550110D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
10 มกราคม 2555


พระอาจารย์ –  บอกแล้วว่าตามธรรม แต่ละคน ตามเหตุปัจจัย ทุกอย่างควบคุมไม่ได้ ใครจะไปใครจะมา บอกว่าจะไม่มาก็มา บอกว่าจะมาก็ไม่ได้มา ...เห็นมั้ย ทุกอย่างเป็นไปตามธรรม 

แต่ใจเรายอมรับสิ่งที่เป็นไปตามธรรมนี้ได้มั้ย เป็นกลางมั้ย ดีใจมั้ย เสียใจมั้ย ...ก็ต้องทัน แล้วก็ละความไม่เป็นกลางต่อสิ่งที่มันเป็นกลาง คือตามที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ อย่างนี้

การภาวนาก็ทำอยู่อย่างเนี้ย เรียนรู้อย่างเนี้ย สังเกตดูตรงนี้ บ่อยๆ ...แต่ถ้าไม่มีสติ มันก็ไม่เห็นอาการที่ปรากฏผุดโผล่เดี๋ยวนี้ ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ...แล้วเราไปติดข้องอะไรกับปัจจุบันนี้มั้ย

มันก็ไม่เห็นว่าเราติดข้องมั้ยกับปัจจุบัน ...มันอยู่ในความติดข้อง มันไม่รู้หรอกว่ามันติดข้อง ...แต่เมื่อใดที่เราตั้ง รู้อยู่ เห็นอยู่ มันก็จะเห็นว่าตอนนี้ติดข้องหรือไม่ติดข้อง

แล้วก็รู้หยั่งลงไปอีกว่าติดข้องเพราะอะไร ไม่ติดข้องเพราะอะไร  มันก็เข้าใจ...อ๋อ ติดข้องเพราะยึดว่ามันเที่ยง อ๋อ ติดข้องเพราะว่ามีตัวมีตนเป็นเรื่องเป็นราวเป็นสุขเป็นทุกข์

มันก็ดูลงไป มันอยู่ตรงไหน สุข-ทุกข์ ตัวตนนั้นมีจริงมั้ย เป็นจริงมั้ย  ธรรมที่ว่า ธรรมที่มันเชื่อนี่ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ...เอ้า ดูไปดูมา วาบๆๆๆ ดับๆๆ ไม่มี

อ้าว ก็มีแค่อะไรปรากฏอยู่เท่านี้ เขามาก็มา เขาไปก็ไป จบอยู่แค่นี้ ...นี่คือธรรมที่ปรากฏตามจริง ...แล้วกับภายนอกเนี่ย มันก็เรียนรู้อย่างนี้

พอไม่มีเรื่องราว ...เอ้า อย่างสมมุติธรรมดาไม่มีอะไร มีกายมั้ยล่ะ ดูเข้าไปดิ นี่ก็เป็นธรรม ก็รู้กายเห็นกายไว้ ...นี่ล่ะ ก็เรื่องเดียวกัน ดูแบบเดียวกัน

มันติดมั้ย ยึดมั้ย ให้ค่ามันมั้ย ทำไมถึงให้ค่า มันมีค่าจริงมั้ยอย่างเราที่ให้ค่าตามความเชื่อความเห็นนี้ว่า มีค่าว่าเป็นชาย มีค่าว่าเป็นหญิง มีค่าว่าเป็นเรา

ดูดีๆ จำแนกลงไป ก็จะเห็นว่าความมีค่าที่แท้จริงของมันคืออะไร ค่าที่แท้จริงของมันเท่าไหน ...ดูไปดูมาจะเห็นค่าเสมอกันคือสูญ

นั่นเรียกว่าธรรมนั้นเป็นสูญ ธรรมนั้นเป็นสุญญตา ธรรมนั้นสุญโญ มันเป็นอย่างนั้น เห็นอย่างนั้น ...เห็นลงไป ซ้ำลงไป ย้ำลงไป

เพราะนั้นการภาวนาจริงๆ คือการศึกษาธรรมตามความเป็นจริง ...เราถึงบอกว่าทุกอย่างเป็นธรรมไง ไม่มีอะไรไม่เป็นธรรมหรอก เป็นธรรม...แต่เราไปว่าเขาเองว่าไม่เป็นธรรม

การไปการมาของสัตว์บุคคล ทุกอย่าง เรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏผุดโผล่เดี๋ยวนี้ขณะนี้ ทุกอย่างเป็นธรรมที่แสดง คือธรรมที่ปรากฏ ที่สุดของธรรมนี้..ดับ เห็นถึงความดับไปเป็นปกติ เป็นธรรมดา

มันดับ...ทำไมมึงไม่ดับ แค่นั้นเองปัญหา... อ้าว มันดับไปแล้วนี่ภาพนี้ ยังคิดต่อ ทำไมไม่ดับ ทำไมยังเก็บมาเป็นเรื่องอีก ...ก็เรียนรู้ต่อไป ศึกษาธรรมนี้ต่อไปว่า อ๋อ ธรรมนี้เรียกว่าสัญญา 

อ๋อ ธรรมนี้เรียกว่าเป็นแค่ความปรุงแต่งหนึ่งของนามขันธ์ ...มีตัวมั้ย มีตนมั้ย มีชีวิตมั้ย เป็นสัตว์เป็นบุคคลมั้ย ดูต่อ สำเหนียกต่อ ตั้งมั่นไว้ เป็นกลางไว้ เห็นต่อ ...ก็เห็นว่าที่สุดก็คือดับเหมือนกัน ไม่มีตัวไม่มีตน

ต่อไปมันก็ทันหมดน่ะ พอตรงนี้ดับ ตรงนี้ผุด ข้างหน้าดับ ตาเห็นรูปแล้วดับ ปุ๊บ ข้างในมันยังมีสัญญาผุดโผล่ขึ้นมาปั๊บ..ดับ ...ไม่มีประโยชน์ เก็บไว้ทำซากทำไม ก็ดับ

แล้วต่อไป พอมันฝึกไปเรียนรู้ไปปัญญามากขึ้นไป  มันจะเห็นความดับพร้อมกันในปัจจุบัน ข้างนอกดับข้างในก็ดับ ไม่เกิด ...พอมันจะเกิดก็ แวบ วูบ ดับ ขันธ์ ๕ ภายในดับ

ไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ ภายนอกเขาดับไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ไอ้นี่ยัง หูย ข้ามภพข้ามชาติอยู่นั่น  นี่มันไม่สมดุล ปัญญามันไม่พอดีกันลงในปัจจุบัน ...มันต้องลงพอดีกัน

จิตใจก็จะเบา สบาย มันไม่แบก ...มันเบาเพราะมันไม่แบก มันไม่หาม มันไม่รู้จะไปแบกอะไร นี่มันดับไปแล้วภาพเมื่อกี้ ก็ไม่คิดก็ไม่จำ ก็ไม่หาจริงหาเท็จอะไร ถูก ผิด ควร ร้าย ดี ชอบ

หนักนะนั่น ถ้าคิดก็หนัก ถ้าคิดก็แบก ...แบกอะไร แบกในสิ่งที่มันดับไปแล้ว แบกในสิ่งที่เขาจะทำหรือไม่ทำอะไร ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มีอะไรจริงทั้งนั้น แล้วไปแบกความไม่จริงอยู่นั่นได้ยังไง

แต่มนุษย์ทุกวันนี่แบกโลก แบกทั้งโลกเลย แบกเรื่องราว แบกสัตว์บุคคล แบกเรื่องราวของสัตว์บุคคล แบกเรื่องของเราทั้งอดีตทั้งอนาคต ...มันไม่รู้กี่แบกน่ะ

ทั้งๆ ที่มันยังไม่มีอะไรเลยนะ ดูสิ ดูดีๆ สิ ...แต่มันไม่เชื่อ ใจยังไม่เชื่อ เห็นอยู่ตอนนี้นะ แต่ใจยังไม่เชื่อ ...ต้องซ้ำ ย้ำๆๆๆ ซ้ำซากอยู่อย่างนั้น ถึงเรียกว่า ภาวิตา พะหุลีกะตา

การภาวนาต้องเพียรเพ่งอยู่อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำอีก ๆ จึงจะเกิดเป็นญาณวิมุตติทัสสนะ ความรู้นี้จึงจะรู้ชอบเห็นชอบ รู้แจ้งเห็นจริง ยอมรับตามความเป็นจริงนั้นได้

ปัจจัตตัง...ใจมันยอมรับเอง ...คราวนี้บอกให้มันยึด บอกให้มันคิด มันก็ไม่คิด มันไม่รู้จะคิดทำไม เหนื่อย ไม่มีเรื่องไม่มีสาระจะไปคิดทำไม บอกให้มันคิดก็ไม่รู้จะคิดทำไม

มันรู้สึกว่าเป็นทุกข์ซะอีกถ้าไปบังคับให้มันคิด ให้หาเหตุหาผลว่าควรจะทำยังไงหรือไม่ทำยังไง มันบอกว่าเหนื่อย มันรู้สึกเลยว่าเบื่อหน่ายที่จะคิด ที่จะเห็นแต่ความทุกข์

มันเห็นแต่ความไม่จบไม่สิ้น ...ไม่เอาน่ะ มันเบื่อ เบื่อ เห็นความน่าเบื่อของการที่คิดไป หาออกไป มันก็อยู่แค่นี้ มันมีความพอใจ ยินดีพอใจในแค่รู้เห็นในปัจจุบันนี่

เพราะนั้นเขาเรียกว่าพอดี พอดีคือพอใจแค่ปัจจุบัน พอดีนะ...ไม่ใช่สุขนะ ...เพราะนั้นตัวรู้ตัวเห็นแค่นี้ อะไรที่มันปรากฏเท่านี้ มันราบเรียบเหมือนแผ่นกระดาน

มันไม่ใช่สุขและก็ไม่ใช่ทุกข์ จะเรียกว่าสุขก็ไม่ได้ จะเรียกว่าทุกข์ก็ไม่ได้ มันเป็นความพอดี มันเป็นความปกติ มันเป็นความธรรมดา มันมีความเสมอกัน คือความราบเรียบสม่ำเสมอ เท่ากัน

จนต่อไปมันจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมเดียวกัน ไม่ว่ากาย ไม่ว่าใจ ไม่ว่ารูป ไม่ว่านาม ไม่ว่ารู้ ก็เป็นธรรมเดียวกัน เกิดที่ใดก็ดับที่นั้นพร้อมกันไป


โยม –  เป็นอย่างนั้นแล้วจะออกจากคุกแห่งสังสารวัฏได้มั้ยครับอาจารย์

พระอาจารย์ –  ได้ อย่างน้อยก็เอาขาก้าวออกมาก้าวนึงแล้ว เอาตัวออกมาอีกครึ่งซีก อีกข้างนึงยังอยู่ในฝั่งตะแกรงลูกกรง แล้วมันก็ค่อยๆ หลุดๆๆๆๆ เคลื่อนออก ...หลุดพ้น

เข้าใจคำว่าหลุดพ้นมั้ย ใจดวงนี้จะหลุดพ้นออกจากขันธ์ หลุดพ้นออกจากสามโลก ...มันก็เหมือนกับเรากำลังเบียดตัวเองออกจากลูกกรง

คือมันไม่ได้เบียดหรือไม่ได้ทำอะไร ...จริงๆ มันกลับมาตั้งมั่นอยู่ที่ใจดวงเดียวนี่แหละ ดวงจิตผู้รู้อยู่เห็นอยู่นี่แหละ...เริ่มต้นตรงนี้ ระหว่างทางอยู่ตรงนี้ ที่สุดก็เหลือแค่นี้

สุดท้าย...ท้ายสุด หมด จบ หมดสิ้น ดับโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือเลย ทั้งโลกทั้งขันธ์ ทั้งใจทั้งผู้รู้...ดับโดยสิ้นเชิง คือไม่มีความหมายมั่นในที่ใดทั้งปวง

ไม่มีที่ใดที่มันหมายมั่นตั้งขึ้นในที่ทั้งปวง หมด ดับ  นี่เขาเรียกว่านิโรธ ไม่หวนไม่คืน ...ท่านเปรียบเหมือนไม้เปียกจุ่มน้ำน่ะ สีไฟก็ไม่ติด พระพุทธเจ้าท่านเปรียบอย่างนี้

เหมือนล้อเกวียนที่หักเพลา...เกวียนไม่เดิน มีแต่ล้อ มีแต่เพลาที่หักแล้ว ...พอถึงจุดนี้มันหมดแล้ว ดับสิ้นซึ่งการเดิน อะไรเดิน..จิตไม่เดินแล้ว หยุดการเดินแล้ว ไม่มีการเดินทางไกลทางใกล้แล้ว

แต่ตอนนี้จิตมันไม่ยอมหยุด อะไรนิดอะไรหน่อย มันแพล้บ แพล้บออกๆๆ  ทั้งๆ ที่ว่ามันไม่รู้จะออกไปทำซากอะไรนะ มันออกก่อนแล้ว ...พ่อแม่มันสอนมัน พ่อแม่มันคือจิตไม่รู้

เอะอะๆ อะไรปุ๊บ..หา กระโตกกระตาก กระวนกระวาย วูบวาบๆ ออกไปเลย ...นั่นเป็นปฏิสัมพันธ์แรกของผัสสะ หรือว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีสติสมาธิรักษาครองใจอยู่นะ

ปฏิสัมพันธ์แรกคือมันแกว่งแล้ว ส่ายไป ยิ่งนานไปปุ๊บมันก็ให้ค่าเป็นสมมุติบัญญัติ  แล้วก็พอกๆๆๆ จนเป็นหน้าตาตัวตน ขันธ์ ๕ เริ่มแข็งแกร่งขึ้นแล้ว

ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ตัวนี้ของเรานะ  ขันธ์ ๕ คนอื่นด้วย ความเป็นสัตว์บุคคลของคนอื่นก็พร้อมกันพอกันกับขันธ์ ๕ ที่มีตัวเรากำลังคิดกำลังปรุงอยู่

ขันธ์ ๕ เขา ขันธ์ ๕ เรา ขันธ์ ๕ ของสัตว์โลก ก็ปนอยู่ในโลกที่มันสร้างขึ้นมาภายในน่ะ ...นั่นเขาเรียกว่ากามภพ รูปภพ อรูปภพก็เกิดจากนี่ เกิดจากขันธ์ ๕ นี่แหละ

(เสียงสัมผัสกาย)...นี่ตรงนี้กามภพ ทั้งหมดนี่รูปภพกับอรูปภพ คือนาม ...รู้เท่ารู้ทัน รู้ละรู้วาง รู้ปล่อย นั่นแหละที่ว่าพระพุทธเจ้าสอน ไม่ผิดจากพระพุทธเจ้าสอน

เราไม่รู้อ่ะใครเขาว่าผิด ใครเขาว่าถูก เราไม่สน ...แต่เรารู้ว่าเรา “ตรงต่อธรรม” เราสอนให้ทุกคนตรงต่อธรรม เราไม่เคยสอนให้บิดพลิ้วออกจากธรรม เราไม่เคยสอนให้เข้าไปเบี่ยงเบนธรรม

เราไม่เคยสอนให้ไปเห็นธรรมที่เหนือกว่าธรรมที่มันปรากฏ  เราถือว่าเราตรง...เราสอนตรง เราถือว่าเราแนะนำให้ทุกคนเข้าสู่ความตรงต่อธรรม

เพราะนั้นปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง นั่นแหละเป็นเบื้องต้นของผู้ปฏิบัติ เป็นปากทางของนิพพาน ต้นทางของมรรค...ต้องเริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิที่รู้ตรงเห็นตรงก่อน

ธรรม...อะไรเป็นธรรม ตรงต่อธรรมจริงๆ แล้วเริ่มจากจุดนั้น จะไม่คลาดเคลื่อน ...พอเคลื่อนก็คอยตะล่อมกลับมา คนอื่นไม่ตะล่อม ก็ตัวเองก็ต้องตะล่อม

ว่านี่มันเกินธรรมแล้ว รู้เกินธรรมแล้ว หรือทำเกินธรรมแล้ว หาเกินธรรมแล้ว เห็นเกินธรรมแล้ว ...ก็ไม่เข้าไปจริงจังกับไอ้อะไรที่มันเกินๆ ออกมา

กลับมาทำความสมดุลคือ เป็นกลางอยู่ภายใน คือรู้กลางๆ ไว้ ...รู้กลางๆ ไว้  อย่าตื่นเต้น อย่าจับทีเดียวอยู่ ก็เรียกว่ารู้กลางๆ ไว้ ทำความสมดุลไว้

ตัวกลาง ตัวจิตรู้นี่ก็ทำความสมดุลกับอาการของขันธ์ ...ที่บางขันธ์บางอาการนี่ ไอ้ที่มันตื่นเต้นเพราะมันไม่เคยเจอมาก่อนตั้งแต่เกิดมาอย่างนี้ มันก็ตื่นเต้น

หรือไอ้ที่มันดีใจเสียใจ ก็เพราะมันเกิดมาแล้วดันไปตรงกับสัญญาความทรงจำที่คนอื่นเขาพูดว่าสภาวะนั้นสภาวะนี้ ปุ๊บ มันก็ดีใจ เห็นมั้ย ...สมดุลไว้ๆ รู้เฉยๆ มันก็จะปรับสมดุล เกิดความราบเรียบในธรรม 

พอตั้งมั่นเป็นกลางดีแล้ว สมาธิตั้งมั่นดีแล้ว ธรรมนั้นยังปรากฏอยู่ตามเหตุและปัจจัยอันควร ...เมื่อสิ้นเหตุและปัจจัยอันควรนั้น คือหมดเหตุปัจจัยการตั้งอยู่ปุ๊บ ด้วยความเป็นกลางนี่ก็จะเห็นความดับไป

ถ้าเข้าใจอย่างนี้ การปฏิบัติธรรมไม่ยากหรอก ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้ปฏิบัติลงอย่างนี้ ...ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ไม่ต้องไปเอาใครมาเปรียบเทียบ ...ตัวเองนี่แหละ เป็นเรื่องของตัวเองล้วนๆ

จนไม่มีตัวเอง จนเป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ...ตัว "เรา" หมดไปเมื่อไหร่ ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ เลย ขันธ์เป็นเรื่องของธรรมชาติ

ก็ลมมันเย็นอ่ะ(หัวเราะ) ...จะทำยังไง ก็ลมมันเย็น ลมมันไม่ร้อน ก็ลมมันเย็น จะไปว่าลมมันดีลมมันร้าย ลมมันถูกลมมันผิด ลมก็คือลม อย่างนี้ มันก็เป็นธรรมชาติล้วนๆ

ทุกอย่างเป็นธรรมชาติล้วนๆ คืนสู่ธรรมชาติเดิมล้วนๆ ใจก็คืนสู่ธรรมชาติใจล้วนๆ คือรู้เห็น ไม่มีอะไรในรู้ในเห็น ไม่มีอะไรออกมาจากรู้จากเห็น ...มันคืนสู่ธรรมชาติของใจ

ขันธ์ก็คืนสู่ธรรมชาติขันธ์ คือความเป็นปกติของเขาในการเกิด การตั้ง การดับ ด้วยความที่ไม่มีความเป็นสัตว์บุคคลในการเกิด การตั้ง การดับ ...นี่ ธรรมชาติ

เพราะนั้นมนุษย์ สัตว์ ก็ไม่ต่างกับก้อนดินก้อนหิน ...ก้อนดินก้อนหินมันต่างแค่ที่มันเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่มนุษย์ สัตว์ มันเคลื่อนไหวได้

แต่ในความเป็นความอยู่ ในความเป็นธรรม..คือเหมือนกันน่ะ ...แต่ดูแตกต่างกัน ตามการประกอบขึ้นโดยธรรมนั้นๆ เท่านั้นเอง


โยม –  พระอาจารย์ครับ แล้วอย่างกรณีถ้าช่วงที่ตั้งมั่นหรือเป็นกลางๆ ที่บอกว่า..รู้ตรงไหน ดับตรงนั้นนี่ มันจะไม่มีเจตนาเข้ามาเกิดขึ้น แล้วมันเหมือนกับจะเรียบๆ ไปธรรมดา ใช่ไหมครับ แต่เหมือนกับว่าช่วงที่มันไม่ตั้งมั่น มันจะต้องมีเจตนาที่ดึงกลับมา ให้มาอยู่กับตัว

พระอาจารย์ –  ใช่


โยม –  แต่ว่าไอ้ช่วงที่สมูธอย่างนี้ มันบังคับมันไม่ได้ แต่มันก็เหมือนรู้สึกเองบางช่วงมันเองสั้นๆ อย่างนั้นน่ะครับ ใช้เจตนาที่ช่วยไปเรื่อยอย่างนี้หรือครับ

พระอาจารย์ –  น้อมกลับบ่อยๆ พยายามอยู่กับน้อมระลึกขึ้น รู้อยู่ ให้มีรู้อยู่ในความเป็นกลางๆ รู้สึกกลางๆ เพราะไอ้ที่ว่าเป็นกลางๆ นั่นมันยังเป็นอารมณ์ มันยังเป็นความรู้สึก ไม่ใช่ใจ ยังไม่ใช่ใจกลางๆ  

แต่ว่าอย่างที่พูดเมื่อกี้น่ะมันเป็นอารมณ์ สมูธ ยังเป็นแค่อาการของขันธ์ ที่ปกติของขันธ์มันไม่มีอะไร ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ นั่นเขาเรียกว่าเป็นธรรมอันหนึ่งที่เรียกว่าอัพยากฤต เป็นอัพยากฤตธรรม 

คำว่าราบเรียบจริงๆ โดยสมดุลจริงๆ ข้างหน้าราบเรียบ ตัวใจราบเรียบ..คือรู้ กลางจริงๆ คือรู้ รู้กลางๆ รู้กลางๆ ...ต้องมีรู้อยู่นะ ถึงจะเป็นกลางจริง

เพราะนั้นไอ้อารมณ์ที่รู้สึกว่าราบเรียบเห็นความราบเรียบ เห็นว่ามันราบเรียบนี่ มันยังมีตัวนึงที่รู้เห็นอยู่ ...ตัวรู้เห็นนั่นแหละคือตัวกลางที่แท้จริง

เพราะไอ้ตัวตรงนี้เดี๋ยวก็ไม่กลางแล้ว อัพยากฤตน่ะ เดี๋ยวก็เป็นกุศลแล้ว เดี๋ยวก็เป็นอกุศลแล้ว เดี๋ยวก็ร้อนแล้ว เดี๋ยวก็เย็น เดี๋ยวก็ไม่มีเย็นไม่มีร้อนแล้ว ...นั่นคือสภาวะหนึ่งของขันธ์

เพราะนั้นสภาวะพวกนี้มันจะละเอียดขึ้นไปถึงขั้นอรูปน่ะ พอขั้นอรูปปุ๊บก็ว่างหมดแล้ว แยกไม่ออกระหว่างสุขทุกข์ หรือมีหรือไม่มี ...มันรู้สึกว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย

ใจมันจะกระโดดเข้าไปงับเลย สำคัญว่านี่เป็นใจแล้ว ตรงนี้คือใจแล้ว รู้ก็ไปแช่อยู่ตรงนั้น เหมือนควายอ่ะ หาน้ำใสมานาน ไปเจอน้ำใสปุ๊บ กระโดดแช่เลย ใช่เลย

คือแต่ก่อนมันเจอแต่น้ำคลำ น้ำเน่าน้ำเหม็นอย่างนี้ หรือน้ำมีสีสวยๆ  แต่พอเจอน้ำใสบริสุทธิ์มันก็ลงเลยสิ มันไม่ไปไหนแล้ว หามานาน พอถึงภาวะว่างไม่มีไม่อะไร ปึ๊บ มันก็...ไม่มีรู้เลย

รู้สำคัญนะ ตอนนั้นรู้นิดนึงก็ต้องเอา รู้หน่อยนึงก็ต้องเอา แค่รู้นิดนึง แค่เป็นต่อมนิดนึงก็ต้องรู้ ...ถอยออก แยกไว้ พั่บนี่กระโดดออกมา ให้มันกระเด็นออกมา ไม่งั้นมันจะนอนเนื่อง จม กลืนกัน

แต่ปกติน่ะดีแล้ว ...แต่ให้รู้ว่าปกติ ต้องมีรู้อยู่ว่าปกติ ไม่งั้นก็จะหมายเอาว่าปกติเป็นใจอีก จิตมันยังแอบหมายอยู่ ใจมันยังแอบหมายอยู่

อะไรเกิดขึ้นเป็นอาการใดที่ใกล้เคียงกับที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่าใจรู้ใจเห็นเป็นปกติ กลาง ...มันจะเข้าไปหมายเอาปกติเป็นใจอีก

หมายเอาอย่างเดียว ใจคือรู้...ไม่รู้คือไม่ใช่ใจ จำไว้เลย ให้ชัด ...จนมันชัดเจน ในใจชัดเจนเลยว่าใจคือรู้ รู้คือใจ ผู้รู้ชื่อก็บอกแล้วว่าผู้รู้ ไม่ใช่ผู้ปกตินี่ ใช่มั้ย

ถ้าไม่งั้นก็ไม่ต้องพูดเรื่องว่ากลับมาที่ผู้รู้ผู้เห็นสิ ก็ทำไมถึงไม่บอกว่า เอ้า กลับมาที่ผู้ปกติเลย หรือผู้ไม่มีอะไร ใช่ป่าว

ก็ทั้งที่ยังบอกว่า ผู้รู้ๆๆ นี่ ไม่ใช่ว่าผู้ปกติ หรือผู้ว่าง ผู้เบา หรือผู้โล่ง ก็ใช้คำนั้นซะเลยสิ ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ...ก็ไม่ใช้นี่ ครูบาอาจารย์ท่านก็ใช้ว่าผู้รู้ ผู้รู้ต้องเป็นผู้ที่รู้ มีรู้อยู่ นะ

แล้วในรู้นั่นแหละมันจะชัดเจนเอง ว่าในรู้นั่นแหละคือกลาง ในรู้นั่นแหละคือปกติ ในรู้ธรรมดานั่นแหละคือความว่างความบางจากตัวตน เรา เขา สัตว์  บุคคล


...................................




วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 6/30 (3)


พระอาจารย์
6/30 (550110C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
10  มกราคม 2555
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/30  ช่วง 2
http://ngankhamsorn6.blogspot.com/2017/03/630-2.html )

พระอาจารย์  ธรรมที่เป็นหนึ่งนี่ หน้าตาของธรรมที่เป็นหนึ่งนั้น จะเป็นยังไงก็ได้ ...หน้ามันจะเหมือนนางงามจักรวาล หรือหน้ามันเหมือนอสรพิษโจรห้าร้อย...ก็ไม่ว่ากัน

หน้าตามันจะเหมือนกิเลสก็ไม่ว่ากัน หรือหน้าตาจะเหมือนพระพุทธเจ้าก็ไม่ว่ากัน ...เราไม่ได้เลือกหน้าตาตัวตนนี่ เราเลือกว่าขอให้เป็นธรรมที่ปรากฏในปัจจุบัน

อดทนรู้ไว้ ต้องอดทนรู้กับมัน ไม่เฉยก็ต้องแกล้งทำเฉยกับมันน่ะ ...มันจะไม่เฉยมากขึ้นๆ ต่อเมื่อเราไปขยันคิดขยันปรุง หาเหตุหาผลกับมัน ...ก็ต้องแกล้งทำเป็นเฉยๆ ไม่สนใจมัน

อือ กิเลสเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคะ ไม่ว่าจะเป็นโทสะ ...พระนี่ราคะเป็นปัญหา ผู้หญิงก็โทสะ หงุดหงิด ขี้รำคาญ ความเห็นเยอะ ไอ้นั่นนิดไอ้นี่หน่อย หงุงหงิงๆ

ตั้งมั่นไว้ อย่าไปสนใจใส่ใจจับมาเป็นเรื่อง อย่าไปจับมันมาเป็นเรื่อง อย่าไปจับมันมาปรุงต่อ มันโผล่มาแค่นิ้วก็ไปเติมแขนต่อขา เติมหน้าเติมหลังให้มันน่ะ

มันก็อหังการ แกร่งกล้าขึ้นมา ดูเสมือนเป็นตัวเราตัวเขา เป็นตัวเป็นตนชัดเจนขึ้น ...แล้วมันก็กระโดดขี่คอเรา กดหัวเรา นี่ เป็นทุกข์เลย

อดทนไว้ ทำไม่รู้ไม่ชี้กับมัน รู้อย่างเดียว รู้ลงไป ก้มหน้างุดๆๆๆ อยู่กับกายปัจจุบัน ...รู้ ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไร จิตมันจะพูดอะไร จิตมันจะว่าอะไร

จิตมันจะบอกอะไร จิตมันจะแนะนำอะไร รู้อย่างเดียวๆ เห็นแล้วก็รู้ไว้ๆ อยู่ที่รู้ไว้ นี่ ตั้งมั่นอย่างเดียว ...อารมณ์ใดจะปรากฏผุดโผล่ ไม่ว่าจะเป็นราคะโทสะปฏิฆะ โลภะ หรือโมหะ รู้ไว้

วางเฉยต่อขันธ์ วางเฉยต่อผัสสะ วางเฉยต่อโลกต่อธรรม วางเฉยต่อแผ่นดิน ...ไม่วางเฉยก็แกล้งวางเฉยไว้ก่อน ไม่สนใจ ไม่ไปหาไปคิดไปค้นไปเอาถูกเอาผิด เอาห้าเอาสิบอะไรกับหงุงหงิงๆ

เวลามันอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมผู้ปฏิบัตินี่  ตามันคอยแล ปากก็คอยกัดกันแง็บๆ คนข้างๆ ...เป็นธรรมดา มองให้เป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปจับมาเป็นอารมณ์ แบ่งกันกินให้กันใช้

อยากได้เอาไป เนื้อไม่แหว่งหรอก กัดเข้าไปๆๆ เอาให้เหลือกระดูกไปเลย ดูสิ ...เสียดสี มันก็มาเสียดสี (หัวเราะ) เอาให้ไฟมันลุกไปเลย  อยากเสียด..เสียดไป อยากสี..สีไป ไม่สน

ทำใจให้ตั้งมั่น รู้อยู่เห็นอยู่ แล้วจะเข้าใจเองน่ะ...เหมือนเด็กเล่นละคร แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรเป็นสาระ อย่าไปจริงจัง อย่าไปใส่ใจ จนละเลยเพิกเฉยต่อการรู้เห็นกายใจ

ทำความรู้อยู่ภายใน ว่ากายคืออะไร ใจคืออะไร นั่นน่ะคือสิ่งที่ต้องรู้ สิ่งที่จะต้องเข้าใจ...มากกว่าจะไปเข้าใจนิสัยคนอื่น มากกว่าจะไปเข้าใจคำพูดของคนอื่น

ไม่มีประโยชน์หรอก มันพูดวันนี้อย่าง เดี๋ยวอีกวันพูดอีกอย่าง จะเข้าใจมันทุกครั้งได้ยังไง จะไปเข้าใจอาการการแสดง ว่าเขาแสดงอย่างนี้หมายความว่ายังไง ทำไม ...เสียเวลา

ไอ้ที่ต้องเข้าใจว่ากายคืออะไร ใจคืออะไร นี่คือต้องเข้าใจอันนี้ ...งานหลัก นี่คืองานหลัก สัมมาอาชีโว ...ไม่ใช่ไปหมดเวลาไปกับการคิด การค้น การหา

ไปหมดเวลากับเรื่องราวของสัตว์มนุษย์สัตว์บุคคล หรือว่าวัตถุธาตุ หรือว่าอดีตอนาคตฟ้าดิน ...ไม่มีประโยชน์หรอก เสียเวลา หมดลมหายใจไปโดยที่สูญเปล่า

แต่ถ้าเรามาตั้งมั่นรู้เห็นอยู่ภายในกายใจนี้ จนเกิดความเที่ยงตรงถ่องแท้ในความเห็นที่เป็นสัมมา ว่ากายนี้ไม่ใช่เรา กายนี้ไม่เป็นเรา ว่ากายนี้ไม่ใช่กาย กายนี้ไม่มีกาย ว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร

เนี่ย มันมีสาระ มันเป็นสาระ...เป็นความรู้ที่เป็นสาระ เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ เป็นความรู้ที่พาให้ออกจากทุกข์...คือการเกิดและการตายได้

ไอ้รู้เรื่องนั้น รู้คนนั้นเป็นอย่างนั้น รู้คนนี้เขาทำอย่างนี้เพราะเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้เข้ามรรคเข้านิพพานได้เพราะไปรู้เรื่องพวกนี้หรอก ...รู้มากยิ่งติดมาก รู้มากยิ่งข้องมาก รู้มากยิ่งหนักมาก รู้มากยิ่งเป็นทุกข์มาก ...สังเกตดูสิ

ทำไมไม่ละออกล่ะ ...นี่ มันต้องตั้งใจจริงๆ ...เพราะอะไร  เพราะการละน่ะมันยากกว่าการเอา ...การปล่อยปละละเลย เผลอไผล ลุ่มหลง เผลอเพลิน  มันง่ายกว่าการตั้งสติว่ารู้อยู่เห็นอยู่

เห็นมั้ย มันก็เป็นภาวนามักง่าย นักภาวนาแบบมักง่าย เอาแต่ง่ายๆ  ไอ้ยากน่ะไม่เอา ...อ้างโน่นอ้างนี่ อ้างพระอาทิตย์ขึ้น วันนี้ฝนไม่ตก วันนี้แดดออกเกินไป วันนี้ตื่นเช้าเกินไป 

อ้างอยู่นั่นน่ะ...วันนี้ทำงานมาก วันนี้ทำอาหารเยอะ วันนี้เจอแขกเยอะ วันนี้เจอคนมาเยอะ ...มักง่ายๆ มักง่ายธรรมมันก็ลวกๆ ที่ปรากฏขึ้นก็เป็นธรรมแบบสุกๆ ดิบๆ

เคยกินมั้ยของสุกๆ ดิบๆ มันเสาะท้อง มันเป็นพิษ ขี้ก็เหม็น ตดออกมาก็เหม็น พูดออกมา สาธยายกันออกมา ก็มีแต่ขี้เหม็น เพราะธรรมที่ปรากฏออกมามันเป็นธรรมแบบสุกๆ ดิบๆ ไม่ใช่ของจริง

เพราะอะไร ...ต้นเหตุคือมักง่าย ยากไม่เอา ...ทวนหน่อย เกร็งหน่อย ตึงขึ้นมาหน่อย ขืนขึ้นมาหน่อย...ไม่เอา ทวนกระแส...ไม่เอา ข้ามกระแส...ไม่เอา ...ตามกระแสนี่ชอบ  

ขอให้ได้เวียนว่ายในกระแสนี่อาหารอันโอชะ เหมือนปลาได้น้ำน่ะ ...นี่ ถ้าไม่ทวนกระแสแล้วมันไม่สามารถจะข้ามกระแสได้ ถ้าไม่สามารถจะทวนกระแส ข้ามกระแส...ไม่สามารถจะตัดกระแสได้ จำไว้

เพราะนั้นการภาวนามันก็ยากตรงนี้ คือต้องมาปรับสันดานตัวเอง ...ไอ้ที่มักง่าย มักสบาย มักกิน มักนอน มักเผลอมักเพลินนี่  มันไม่ต้องสอนน่ะ มันไปโดยสันดานของมันอยู่แล้ว จิตไม่รู้นี่

ศีลสมาธิปัญญามันเหมือนเป็นแม่บ้าน เป็นแม่เลี้ยง เป็นพ่อเป็นแม่ที่คอยดูแลลูก...คือจิตที่ไม่รักดี หนีเที่ยว ศีลสมาธิปัญญาคือพ่อแม่คอยฟูมฟักรักษา ลูกคือใจรู้ใจเห็นนี่

ให้มันกลับมาอยู่ในร่องในรอย ในที่ที่ไม่ควรอยู่ และในที่ที่ไม่ควรไป...ก็ไม่ไป ...มันก็ขัดอกขัดใจน่ะ เหมือนสาววัยรุ่นใจแตก เด็กที่ดื้อ นั่นน่ะจิตไม่รู้น่ะ มันก็ต้องซ้ำกันอยู่นั่นน่ะ

ซ้ำลงไป ย้ำลงไป ศีลสมาธิปัญญาเป็นเครื่องอบรมบ่มสอนตัวเอง ตัวใจดวงนั้นน่ะ ...มันไม่สามารถจะดีขึ้นมาเองได้หรอก ถ้าไม่อบรมมัน ไม่อบรมจิตไม่อบรมใจ

ต้องบ่มจิตบ่มใจด้วยอินทรีย์พละ ด้วยอิทธิบาท ๔  ด้วยโพชฌงค์ ๗  ด้วยสติปัฏฐาน ๔  รวมกันทั้งหมดนี่ โพธิปักขิยธรรม ...นี่มันต้องอบรมจิตอบรมใจทั้งนั้น..ด้วยธรรม

สติก็คือธรรม สมาธิก็คือธรรมอันหนึ่ง ปัญญาก็คือธรรมอันหนึ่ง ศีลก็คือธรรม พวกนี้ก็คือธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่งเหมือนกัน ...แต่เป็นฝ่ายธรรมที่จะมาขัดล้าง ซักล้าง ขัดเกลาใจ

นี่เป็นธรรมส่วนที่จะมาทำให้เกิดความหลุด ความพ้น ความชัดเจนในโลกในขันธ์ ...มันก็คือเจตสิก ก็คือจิตดวงหนึ่งเหมือนกัน ก็คือการปรุงอย่างหนึ่งเหมือนกัน

แต่เป็นเหมือนพ่อแม่ เป็นธรรมที่เป็นพ่อแม่พี่เลี้ยงน่ะ เป็นอุปการธรรม ให้อยู่ในกรอบที่ดี ให้อยู่ในกรอบที่เป็นกุลสตรี ให้อยู่ในกรอบที่เป็นนักบวชที่งดงาม

จนถึงที่สุดของความเป็นไป นั่นคือควรแก่การกราบไหว้บูชา เนี่ย ก็อาศัยธรรมอันนี้ สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมนี่แหละ เป็นตัวขัดเกลา

อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่มีสติสมาธิปัญญา...แม้แต่ขณะเดียว ...ความตายไม่ไกลหรอก อยู่แค่ปลายจมูก ลมหายใจเข้าไม่ออกก็ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ...มันใกล้

การที่มีสติสมาธิปัญญา อย่างที่เราพูดคือด้วยการที่รู้อยู่เห็นอยู่นี่  มันไม่ได้ไปขัดแย้งกับการประกอบวิชาชีพ หรือการดำเนินชีวิตเลย ...ไม่หวง ไม่ห้าม ไม่ขัดแย้งกันใดๆ เลย

เพราะมันสามารถรู้ได้...ในทุกกาล สถานที่ บุคคล สถานะ ...แม้แต่ว่ากิเลสอารมณ์จะปรากฏผุดโผล่อย่างไร ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากรู้กับเห็น

จึงว่ามันไม่เป็นข้าศึกต่อการดำเนินชีวิตเลย มันไม่ขัดแย้งกับการดำรงชีวิตเลย มันไม่ทำให้การดำรงชีวิตนั้นบกพร่อง สูญเสีย เสียหาย ตกหล่นเลย 

กลับเกื้อกูล กลับสงเคราะห์ให้เกิดความราบเรียบ สม่ำเสมอ สมดุลในการงานหน้าที่ การดำรงชีวิตนั้นด้วยซ้ำ...ถ้าปฏิบัติจริง ไม่ทิ้งสติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมนี้

พูดให้เข้าใจ และให้กำลังใจไปด้วย ...นี่ เสียงดังเหมือนดุ แต่ไม่ดุ เข้าใจรึเปล่า ...ดุ ด่า เราไม่ด่าใคร เราด่ากิเลส เราด่าความโง่...ทุกคนมันมีความโง่ มันก็เลยพอดีกันเลย ก็เลยเหมือนกับด่ามันน่ะ

ก็ความโง่มันอยู่ตรงนี้ ก็ต้องด่าตรงนี้ ...แต่จริงๆ ไม่ได้ด่าใครสัตว์บุคคล ด่าความโง่ความไม่รู้ ...อย่าไปรับสมอ้างว่าด่าเราสิ ใช่ป่าว ด่ากิเลส

กิเลสมันก็อยู่ในใจ ใจมันก็อยู่ตรงนั้น แต่ละคนก็มี มันก็โดนด่าไปโดยปริยาย โดยรับไปว่า ถูกด่าถูกว่า ...ไม่ได้ว่าใคร ว่ากิเลส ว่าความโง่ ว่าความปรุงแต่ง

ว่าความไม่ประสีประสาของจิตที่มันเลื่อนลอยล่องลอย คว้านั่นคว้านี่ จับขี้จับตดมาเป็นอาหารการกินของมัน แล้วก็ว่าอิ่ม แล้วก็ว่าอร่อยอยู่อย่างนั้นแหละ ...มันไม่โง่แล้วจะพูดว่ายังไงดีวะเนี่ย

ขี้แท้ๆ ตดแท้ๆ มันจับมากินแล้วบอกอร่อยเฉยเลย อิ่ม อือ เป็นสุข  จะว่าไม่โง่ก็ไปกราบไหว้มันซะสิ ...พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้กราบไหว้บูชามันเลย ท่านมีแต่ให้ละให้เลิก

ให้เข้าใจมันแล้วก็ทิ้งมันซะ ไม่ต้องอาลัยตายอยากกับมัน ...นั่น ให้มันเป็นอย่างนั้น ให้มันได้อย่างนั้น ถึงจะไม่เสียทีที่เป็นนักบวช...ลงทุนนะนี่ โกนหัวบวชนี่ ใช่ป่าว

เพราะนั้น ให้มันสมกับการลงทุน...บวชนอกแล้วใจต้องบวชด้วย ...เอาจนไม่เหลือ ไม่เหลืออดีต ไม่เหลืออนาคตในนั้น จึงจะเรียกว่าวางใจได้

เอาให้ชาติการเกิดน่ะ มันหมดตั้งแต่เดี๋ยวนี้...ดูเอา ...เมื่อใดที่จิตปรุงแต่งไม่มีขอบเขต นั่นแหละการเกิดการตายไม่จบไม่สิ้น

เมื่อใดที่รู้ทันทุกขณะของการปรุงแต่ง นั่นแหละให้รู้ว่ามันจะเริ่มสิ้นการเกิดการตายในชาติหน้า ...เอาจนเหลือมีชีวิตแค่ขณะเดียวให้ได้


(ต่อแทร็ก 6/31)