วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 6/30 (1)


พระอาจารย์
6/30 (550110C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
10  มกราคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์  นี่ฟังรู้เรื่องมั้ย เข้าใจมั้ย ...ต้องเข้าไปที่ใจ อย่าเข้าที่หูกับสมอง...ไม่เอา ...เอาเข้าใจ รู้แล้วก็เข้าลงที่ใจ รู้แล้วน้อมลงที่ใจ รู้อะไรเห็นอะไรน้อมลงที่ใจอยู่เสมอ อยู่ที่เดียวนั่นแหละ

(ถามแม่ชี) บวชนานรึยัง


ผู้ถาม –  สิบสองปีแล้วค่ะ

พระอาจารย์ –  ยังเด็กอยู่ ใช่ป่าว สิบสองขวบไง ...ดีแล้ว บวชน่ะดี บวชกายแล้วใจยังไม่บวช ก็บวชซะ ...บวชใจ...บวชเป็นมั้ย คืออย่าไปปรุง อย่าให้มันปรุง ให้ทันความปรุง

เปรียบความปรุงแต่ง อดีตอนาคตนี่ เหมือนผมที่มันงอกขึ้นมา ...โกนซะ ปลงมันซะ อย่าให้มันงอก อย่าให้มันยืด อย่าให้มันยาว อย่าให้มันเคลื่อนออก...รู้ไว้  นั่นแหละจะเป็นบวชใจ เหลือแค่รู้เกลี้ยงๆ เหมือนหัวล้าน

เมื่อฟังแล้ว เข้าใจแล้ว เอาไปปฏิบัติ ...การปฏิบัตินั้นไม่ยากอะไรหรอก ก็แค่รู้...ก็แค่รู้กับเห็น ...การภาวนาจะไม่มี ไม่เกิดเลย เมื่อใดที่ไม่มีอาการรู้และเห็นในปัจจุบันนั้น

จะนั่งนานขนาดไหน ไม่รู้ไม่เห็นว่ากำลังทำอะไร จิตเป็นอย่างไร ไม่เรียกว่าภาวนา ...จะสงบแนบแน่นนิ่งแน่วขนาดไหน  ถ้าไม่รู้ว่าสงบ ก็ไม่เรียกว่าภาวนา

แต่ยืนเดินนั่งนอน ทำอาหาร...นี่ ส่วนมากแม่ชีนี่จะอยู่กับเรื่องการทำอาหาร การเคลื่อนการไหว ...ถ้ารู้อยู่เห็นอยู่ว่ากำลังเคลื่อน กำลังไหว กำลังทำอะไรตรงนั้น เรียกว่าภาวนา มีภาวนา

เพราะนั้น ให้มีภาวนาอยู่เสมอ ตลอดเวลา ภาวนาไม่ขาดระยะ...ถ้าพูดโดยรวมๆ ก็เรียกว่า มีสติไม่ขาดสายนั่นแหละ ...เพราะนั้นถ้าไม่มีสติเมื่อไหร่ การภาวนาไม่เกิดเลย

ไอ้สิ่งที่ทำมา ระหว่างทำมา หรือเคยทำมา แล้วคิดว่าเป็นภาวนา ...เรายังบอกว่า ยังไม่เข้าถึงการภาวนา ...เพราะนั้นถ้ายังไม่เข้าถึงการภาวนา ปัญญามันยังไม่เกิดหรอก

ปัญญามันต้องเกิดจากการภาวนา ต้องภาวนาอย่างที่เราพูดมานี่ ...ไม่ใช่ไปนั่งนานๆ เดินจงกรมนานๆ หรือให้สงบนานๆ หรือเปล่า...นั่นเราไม่เรียกว่าภาวนา

ต้องถามว่า...รู้มั้ย เดี๋ยวนี้รู้มั้ย  ตอนนี้รู้มั้ย กายกำลังทำอะไร รู้มั้ยใจมันเป็นยังไง  รู้มั้ยข้างในเป็นยังไง คิดดีมั้ย คิดร้ายอยู่มั้ย มีความคิดมั้ย ไม่มีความคิดมั้ย

หรือมีอารมณ์มั้ย ไม่มีอารมณ์มั้ย กังวลมั้ย สบายมั้ย ไม่สบายมั้ย มีสุขมั้ย มีทุกข์มั้ย สุขมากมั้ย สุขน้อยมั้ย หรือเฉยๆ มั้ย ...รู้มั้ย ต้องถามตัวเองอย่างนี้ นี่ เรียกว่าภาวนา

แล้วก็รู้ลงไปตรงนั้น ไม่แก้ไม่หนี ถามตัวเองว่ารู้มั้ย ...เพราะนั้นถ้ารู้อยู่ เห็นอยู่ เสมอ ตลอดเวลา นั่นแหละจึงเรียกว่าเป็นนักภาวนา

เพราะนั้น อย่างโยมอย่างนี้ ไม่ต้องบวชก็ได้ ...ถ้ารู้อยู่เห็นอยู่ในอาการที่กระทำ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ...ก็เป็นนักภาวนา ก็เป็นนักบวชได้...บวชใจ

แต่ของเราพวกนี้นักบวชนี่ โกนหัว ห่มขาว ห่มเหลือง มันมาโดยสภาพแล้ว มันยิ่งสงเคราะห์ ในรูปแบบการเกี่ยวข้อง การใช้ชีวิต มันเป็นไปเพื่อการละวางจางคลายอยู่แล้วโดยภายนอก

มันเป็นปัจจัยมาสงเคราะห์ภายในโดยตรงอยู่แล้ว นี่ อย่ามัวแต่ไปขยันหาอะไรทำกันอยู่ ...ภาวนามันเป็นไปเพื่อกลับมารู้กลับมาเห็นภายในกายใจนี้ ตั้งมั่นอยู่ภายในกายใจนี้

จนมันชัด จนมันเข้าใจ...เข้าใจจนถึงขั้นปล่อยและวางไปเลย ...ทำไมมันเข้าใจแล้วมันถึงวาง ทำไมมันเข้าใจแล้วมันถึงปล่อย ...เพราะมันเข้าใจว่ากายนี้มันไม่ได้มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไร

มันเข้าใจว่าใจนี้ เหมือนลมๆ แล้งๆ มันไม่ได้มีอะไร มันไม่ได้เป็นอะไรเลย ...มันเข้าใจอย่างนี้ มันเห็นอย่างนี้ มันจะไม่ปล่อยมันจะไม่วางยังไง

เมื่อมันเข้าใจ เห็นธรรมตามธรรม เห็นจริงตามจริง เห็นกายเป็นธรรม เห็นจิตเป็นธรรมแล้ว มีหรือมันจะไม่ปล่อย ...เพราะมันไม่มีอะไรในกายนั้น ในจิตนั้น

โบ๋เบ๋ ว่างเปล่า ไม่มีตัวตนแท้จริง ชายหญิง สมมุติเป็นนั้นเป็นนี้ สมมุติ ...สุดท้ายมีความดับไปสิ้นไปในตัวของมันเองอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมันเห็นอยู่อย่างนี้ มันรู้อยู่นี้ ด้วยการภาวนา รู้อยู่เห็นอยู่...มีหรือมันจะไม่ปล่อย ...มันจะไปแบกบ้าแบกบอกับสมบัติที่มันไม่มีสาระได้อย่างไร

มาแบกลมแบกแล้งได้อย่างไร มาแบกอากาศธาตุความว่างความเปล่า เทิดทูนความว่างเปล่า ขวนขวายหาความว่างความเปล่า ความสิ้นความสูญนี่ มันได้อย่างไร

มันก็วางอาการค้น วางอาการหา มันปล่อยอาการแสวงไป ปล่อยจิตที่ทะเยอทะยาน ที่ค้นคว้าหาดาวตะเกียกตะกาย ...แม้กระทั่งธรรม นิพพานมันยังไม่เอาเลย มรรคผลก็ไม่เอา ปล่อยหมด

นั่นน่ะคืนสู่ความเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ คืนสู่ธรรมชาติของใจรู้ใจเห็นโดยสมบูรณ์  ความเป็นวิสุทธิจิต ความบริสุทธิ์ของจิตก็เกิดขึ้น ...เกิดจากอะไร เกิดจากเราปล่อย

ทุกวันนี้มันก็บริสุทธิ์อยู่นะ แต่มันยังถูกครอบงำ ถูกปิดบัง ...เหมือนพระอาทิตย์นี่ เราก็ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ที่แท้จริงชัดเจนหรอก เพราะมันยังผ่านชั้นบรรยากาศเยอะแยะที่ครอบคลุม

มันก็ยังไม่เห็นพระอาทิตย์ตรงๆ หรอก ...ก็เรียกว่าพระอาทิตย์เขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่เรายังไม่เห็นความบริสุทธิ์ของพระอาทิตย์ เข้าไม่ถึงความบริสุทธิ์ของพระอาทิตย์ ทั้งๆ ที่อยู่ในนี้

เพราะมันมีเมฆหมอกมากบังหลายชั้น มลทิน นิดๆ หน่อยๆ ...มันก็ยังไม่เห็นพระอาทิตย์ที่ใส ที่เป็นพระอาทิตย์โดยสมบูรณ์ ทั้งที่ว่ามันสมบูรณ์โดยตัวมัน 

เนี่ย เมื่อภาวนาไปๆ มันจะชำระขัดล้าง ซักล้าง ไอ้สิ่งที่แปดเปื้อน เจือปน ปลอมปน ปิดบังใจนี่ ให้สลายขจายออกไป ...แต่ถ้าเราไม่ภาวนานะ มันมีแต่จะเก็บเข้ามางำ เก็บเข้ามาบัง 

เอาสิ่งที่ไม่มีสาระแก่นสารมาเป็นสาระ เอาสิ่งที่ไม่เที่ยงว่ามันเที่ยงแล้วก็มาถือครองไว้ เอาสิ่งที่เป็นทุกข์แต่คิดว่ามันเป็นสุข เอาไปสะสมไว้เยอะๆ มันยิ่งปิดบัง มันยิ่งหนัก มันยิ่งแบก มันยิ่งติด 

ใจน่ะมันคือความใสความสว่าง สว่างยิ่งกว่าพระอาทิตย์ล้านดวงนะ ...ทำไมมันมืดได้ยังไง ดูเข้าไปสิ มืดตึ้บ ไม่เห็น ไม่รู้ได้เลย...เพราะมันมีแต่ภาวนาเอาซะส่วนมาก ไม่ค่อยภาวนาละ

ภาวนาเป็น ภาวนาได้ ภาวนาถึง นี่ มีแต่ภาวนาจะเอากันทั้งนั้น ยิ่งภาวนาก็ยิ่งงง ยิ่งภาวนาก็ยิ่งมืดบอดลง ยิ่งภาวนาก็ยิ่งคลาดเคลื่อนจากธรรมไปกันใหญ่เลย

อย่างที่ทาง "เซ็น" นี่เขาบอกว่า...คนธรรมดาเริ่มต้น พวกนักปฏิบัติ...คือปุถุชนนี่ เห็นภูเขาเป็นภูเขา เห็นท้องฟ้าเป็นท้องฟ้า เห็นแม่น้ำเป็นแม่น้ำ

พอเริ่มๆ ปฏิบัติไป...เห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา เห็นท้องฟ้าไม่ใช่ท้องฟ้า เห็นแม่น้ำไม่ใช่แม่น้ำ

พอสิ้นสุดการปฏิบัติ...อ้าว กลับมาเห็นภูเขาเป็นภูเขา เห็นท้องฟ้าเป็นท้องฟ้า เห็นแม่น้ำเป็นแม่น้ำ เห็นต้นไม้เป็นต้นไม้ เห็นมั้ย

เพราะนั้น ระหว่างการปฏิบัตินี่ มันจะเข้าไปปรุงแต่งในธรรมมาก ...เพราะความเชื่อ เพราะคนอื่นที่เขาคอยบอกสอนต่างๆ นานา ในแง่ธรรมนั้นแง่ธรรมนี้ ธรรมในแง่นั้น ธรรมในแง่นี้

ทำไมมันหลายแง่เหลือเกิน ธรรม ...ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมมีเพียงหนึ่ง ธรรมเป็นอันหนึ่งเดียว ธรรมมีแค่อย่างเดียว ...ทำไมมันหลายแง่จัง

เหมือนกัน เหมือนกันกับที่เราบอก ...ถ้ายังบอกว่ากายนี้เป็นเรา กายนี้ของเรา กายนี้สวย กายนี้เป็นหญิง กายนี้เป็นชาย ...เราบอกว่านี่มันหลายแง่เหลือเกิน ทำไมมันหลายแง่ล่ะ

กายก้อนเดียวนี่...ก้อนเดียวนี่ ทำไมมันมีตั้งหลายแง่ล่ะ แล้วอันไหนเป็นธรรมล่ะ ดูดีๆ ...เห็นมั้ย เข้าใจคำว่าจำแนกธรรมมั้ย วิจยธรรมน่ะ เคยได้ยินมั้ย

สติสมาธิที่รู้อยู่เห็นอยู่ๆ มันจะเข้าไปจำแนกธรรม วิจยธรรมออกเป็นส่วนๆ ไป ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่ ...นี่ อันไหนไม่ใช่..ทิ้ง อันไหนจริงแล้วก็ไม่หาอะไรเข้ามาปกปิดมัน

เหมือนกับปอกเปลือก อย่างเช่น นี่ก็ใส่เสื้อสีขาว หลายชั้น ไม่เห็นเนื้อเลย เห็นมั้ย ...เข้าใจคำว่าปิดบังธรรมมั้ย เสื้อผ้ามันก็เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่มาปิดบังธรรม...คือกาย คือเนื้อ เอาว่าแค่เนื้อที่เห็น 

มันก็เลยไม่เห็นธรรมที่แท้จริงว่า กายคือกายที่ไม่มีอะไร นี่คือกายเป็นธรรมล้วนๆ ...เหมือนกัน ความคิดความเห็นต่างๆ นานา  มันเข้ามาแต่งแต้มเติมแต่งสีสันวรรณะให้แปรเปลี่ยน ผิดเพี้ยน ผิดสภาพธรรมไป

แล้วก็จะหลงไปตามไอ้ที่มันผิดเพี้ยนไปนี่ว่า นี่คงเป็นธรรม นี่เป็นธรรมแล้ว นี่ใช่ธรรมอย่างที่เขาบอก แต่เราบอกว่า ทุกอย่างมันยังเป็นเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มอยู่นะ

มันยังเป็นทิฏฐิที่ครอบงำปิดบังธรรมอยู่ ยังไม่ใช่ธรรมที่เป็นธรรม ยังไม่ใช่ธรรมที่เป็นธรรมดา ยังไม่ใช่ธรรมที่เรียกว่าเป็นธรรมชาติ ยังไม่ใช่ธรรมที่เรียกว่าเป็นธรรมตามความเป็นจริง

เพราะนั้นคำว่า ญาณทัสสนะ คือการหยั่ง หยั่งรู้ ชื่อก็บอกตรงๆ แล้วว่าญาณ...แปลว่า หยั่งรู้ หยั่งรู้ลงไป เอารู้นี่หยั่งลงไปในกาย ...ไม่ต้องคิดมาก ไม่คิดหาแง่หามุมใดน่ะ 

นี่ หยั่งลงไป เหมือนโง่น่ะ รู้กายเห็นกายก็แค่หยั่งลงไปที่กาย เฉยๆ ...สภาพธรรมตามจริงเขาไม่เคยปิดบังหรอก เขาแสดงอยู่โต้งๆ อยู่แล้ว กายนี่ว่าเป็นอะไร 

หยั่งดูสิ...ว่าเป็นชายจริงหญิงแท้ หรือไม่ใช่ชายจริงหญิงแท้ หรือไม่ใช่เป็นทั้งชายทั้งหญิง ...เขาแสดงอยู่แล้ว เขาไม่ได้ปกปิด ปิดบังอะไรเลย


(ต่อแทร็ก 6/30  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น