วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 6/29 (4)


พระอาจารย์
6/29 (550110B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
10  มกราคม 2555
(ช่วง 4)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/29  ช่วง 3

พระอาจารย์   พระอรหันต์นี่ไม่เคยทะเลาะกันหรอก  ตั้งแต่พระอริยะก็สงบปากสงบคำแล้ว ไม่รู้จะไปเถียงไม่รู้จะไปพูดอะไร ไม่รู้จะไปคัดง้างกับอะไร มันยังไงก็ตาม...อันเดียวกัน

มีแต่ไอ้พวกหันซ้ายหันขวานั่นแหละ พูดมาก ความเห็นเยอะ ตำหนิคนนั้น ตำหนิคนนี้ โทษคนนั้น ครูบาอาจารย์องค์นั้นไม่ดี องค์นี้ไม่ใช่ องค์นั้นก็ไม่ใช่ แล้วมึงน่ะใช่รึเปล่าล่ะ ใช่มั้ย

แล้วเราก็เชื่อกันไป แล้วเราก็ให้ค่ากันไป ตามไป ตามความคิดความเห็นนั้นๆ  มันจึงแบ่งกันจนไม่รู้จะแบ่งกันยังไงแล้ว ...นี่ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาให้แบ่งอะไรเลย

พระพุทธเจ้าบอกให้รวมเป็นหนึ่ง แล้วก็ละลงไปซะ แม้แต่ความเห็นเจ้าของท่านยังไม่ให้เชื่อเลย จะไปเชื่อความเห็นคนอื่นได้อย่างไร ...ความเห็นมันก็เกิดมาจากความไม่รู้นั่นแหละ

ความปรุงความแต่ง จิตไม่รู้มันหาออกมา มันก็สร้างเป็นความเห็นขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่ง...โดยมี “เรา” น่ะเป็นเครื่องมือ เป็นตัวแทน นอมินี เข้าใจป่าว

ไอ้ตัวจิตผู้ไม่รู้นี่ จิตไม่รู้หรือจิตหลงนี่ มันก็เป็นแค่อาการนึง ...มันทำงานโดยตรงไม่ได้ มันต้องอาศัยผ่านตัวแทน มันก็สร้างความเห็นว่าเป็นตัวเราขึ้นมา

มันก็ใช้ไอ้ตัวเรานี่ไปทำงานแทนมัน ด้วยการคิด ด้วยการหา ด้วยการทำ ...ถ้ามันเริ่มความคิดที่เป็นเราคิด เราหา เรากำลังทำอะไรตรงนี้ไม่ได้ แล้วยังไม่ได้ผล มันก็พูด...สร้างเป็นคำพูด

ตัวเราก็เป็นคำพูด สร้างคำพูดของเราออกมา ...ถ้าเป็นคำพูดของเรายังไม่ได้ มันก็เอากายเดินไปเดินมา ไปหาไปหยิบ ไปทำ ไปจับไปต้องขึ้นมา ...มันสืบเนื่องกันมาอย่างนี้

แต่ว่าต้นเหตุของมัน ของการเกิดขึ้นของ “ตัวเรา”หรือ “ของเรา” หรือว่าความปรุงแต่งนี่...เริ่มมาจากจิตไม่รู้ คืออวิชชา  มันจึงทะเยอะทะยาน พเนจรไปในสามโลกธาตุน่ะ

เหมือนผี วิญญาณ ไม่มีศาลเจ้า มันก็อาศัยวิญญาณทั้งหกนั่นแหละพาไป ...จิตตัวแรกมันพาเดิน แล้วก็อาศัยวิญญาณทั้งหกในขันธ์  ๕ นี่ที่สร้างขึ้นน่ะ แล้วก็มี “เรา” เป็นผู้ขับเคลื่อน

นั่นแหละ พอดีเป๊ะเลย...เกิด ...ตาย-เกิดแล้วก็ตายใหม่อยู่อย่างนั้นน่ะ ...เพราะนั้น ต้องตัดวงจรของมันซะก่อน ...หยุด อยู่ในที่อันเดียวให้ได้นั่นแหละ

จะเครียดหน่อย จะบังคับหน่อย หรือเราจะ..แหม มันขัดอกขัดใจพ่อตาแม่ยายจัง ...พ่อตาแม่ยายมันคือจิตผู้ไม่รู้ ลูกเขยมันก็คือ “เรา”  พอเราไม่ทำตามมันนี่ ขัดอกขัดใจพ่อตาแม่ยายมาก

อึดอัด มันอยากไปก็ไม่ให้ไป  มันอยากรู้ มันอยากคิด มันอยากหา มันอยากเห็น...ก็ไม่ไป รู้อย่างเดียว ๆๆ รู้สึกขัดอกขัดใจพ่อตาแม่ยายมาก ...ต้องขัดใจกันหน่อย 

ขัดใจกิเลสไม่เสียหายหรอก ไม่ต้องกลัว ตำรวจไม่จับ ...พระพุทธเจ้ายังสอนว่าให้ฆ่าด้วยซ้ำ ประหาร ปหานตัพพธรรมลงไป ...จะกลัวทำไม กลัวความคิด กลัวไม่ได้คิดทำไม มันจะตายรึไง หือ

กลัวมั้ย ถ้ามันไม่คิดน่ะ  กลัวมั้ย ถ้าหากอยู่โดยไม่อาศัยความคิดเลยน่ะ ...มันก็บอกว่า "แค่คิดก็กลัวแล้ว" ...ยังอุตส่าห์แอบคิดอีกนะว่า..แค่คิดก็กลัวแล้ว(โยมหัวเราะ)

มันยังอดไม่ได้ที่จะอาศัยความคิดเป็นที่พึ่งน่ะ เห็นมั้ย มันติดข้องกันขนาดไหน ถ้าไม่คิดนำ ถ้าไม่คิดก่อน ถ้าไม่สร้างมโนภาพล่วงหน้าไว้ การงานจะไม่สำเร็จ ...นี่ แล้วมันก็เอามาใช้ในการปฏิบัติธรรม 

ถ้าไม่คิดล่วงหน้าถึงธรรมข้างหน้าเป็นที่หมายที่ตั้ง น่าจะทำไม่ถึง แล้วก็มาครุ่นคิดกังวลไล่ทำตามธรรม วิเคราะห์ธรรม อยู่ในหัวกะโหลกอย่างนี้ อยู่ในจิตสังขารที่มันว่อน ร่อนๆๆๆ อยู่รอบใจรู้นี่

เพราะนั้น เอาให้มันมั่นคงลงไปในที่อันเดียวนี่  จนเหลือแค่กายหนึ่งจิตหนึ่ง ธรรมหนึ่งจิตหนึ่ง เอโกธัมโม เอกังจิตตัง ...ไม่รู้อะไรแล้ว จากนั้นไม่รู้อะไรแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรแล้ว

แค่นี้เอาตัวรอดได้ รอดออกจากโลก รอดออกจากทุกข์ รอดออกจากทุกสิ่ง ...อย่าไปเผื่อ อย่าเผื่อเหลือเผื่อขาด จะไปเผื่อมันทำไม...มันเกิน ไอ้ที่เผื่อน่ะมันเกิน 

ไปละไว้ ไปเว้นไว้ ไปคาไว้ ไปข้องไว้ ไปแอบไว้ ไปซุกไว้ ...เหมือนแก้มลิง รู้จักมั้ย นักปฏิบัติธรรมแบบแก้มลิง กินอะไรก็เก็บไว้แก้มตุ่ย เก็บไว้กินคราวหน้า กลัวไม่ได้กิน กลัวอดอยาก 

กินๆๆๆ เข้าไป ขี้ๆๆๆๆ ออกไป จบลงตรงนั้นแหละ ไม่เผื่อ ...ให้มันจริงลงไปในปัจจุบัน แล้วทุกอย่างจะสั้นจะลัดแล้วก็ตรงต่อธรรม ...คำว่าตรงต่อธรรม ต้องเข้าใจนะว่า ปัญญาคือต้องตรงต่อธรรมนะ 

ธรรมนั้นต้องไม่คลาดเคลื่อนนะ ของจริงมายังไงก็ต้องยังงั้น ...ถ้าเคลื่อนออกจากธรรมนี่ ปลอม...อย่าไปหลง อย่าไปหลงของปลอม ...ของปลอมมันน่าหลง 

เหมือนผู้หญิงไง ใช่มั้ย มีเท่านี้ เติมซิลิโคนเข้าไป ...คือมันไม่พอใจในสิ่งที่มันมีสิ่งที่มันเป็น มันว่าไม่สวยมันก็ไปเติมแล้วมันก็ยิ้มแป้น แล้วก็หลอกคนอื่นให้เขายิ้มแป้น

เราก็บอกอยู่เนี่ยว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม ...แต่มันชอบของปลอม แล้วมันก็เลยไม่รู้ ...มันเลยปฏิเสธของจริง ปฏิเสธจนไม่ยอมรับความเป็นจริง

เหมือนกัน..การปฏิบัติธรรมนี่ เมื่อตรงตามธรรม ตรงต่อธรรมแล้วนี่ ...มันจะเห็นเลย มันจะเกิดภาวะที่ยอมรับตามธรรมนั้นๆ แล้วมันจะทิ้งอะไรที่มันปลอมปน

คือความเห็น คือความคิด คืออดีต คืออนาคต คือตำรา คือทุกสิ่งน่ะที่มันมาแอบมาแฝง มาเคลือบ มาแอบมาอิงอยู่กับธรรม จนธรรมนั้นเลื่อน เคลื่อนออกไป

ผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ปฏิบัติตรง นั่นน่ะเขาเรียกว่า สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน จนเป็นสามีจิปฏิปันโน ...นี่ ก็ต้องเริ่มจากตรง ดีแล้วก็ตรง

ไม่ใช่ตรงอะไรน่ะ...ตรงต่อธรรมที่ปรากฏจริงๆ ...อย่าไปเชื่อคำปรุงแต่ง อย่าไปเชื่อคำพูดภายใน อย่าไปเชื่อความเห็น อย่าไปเชื่อในสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมา อย่าไปเชื่อ

รู้ไปตรงๆ เห็นไปตรงๆ เท่านั้นแหละ แล้วก็เงียบซะ...ภาษาเหนือท่านว่าอย่าไปปาก อย่าไปปากกับมัน มันยังไม่ปากกะเรา เราก็ไม่ต้องไปปากกะมัน

กายมันยังไม่เคยพูดกับเรา เราจะไปพูดกับมันทำไม  มันไม่เคยบอก มันไม่เคยเรียกร้องอะไร ...ก็ดูมันไป รู้มันไป เห็นมันไป ตามธรรมที่มันปรากฏอย่างนั้น

ไหวก็คือไหว นิ่งก็คือนิ่ง ร้อนก็คือร้อน อุ่นก็คืออุ่น แค่นั้นแหละ ไม่เกินนั้น ไม่น้อยกว่านั้น ...ถ้าน้อยกว่านั้นก็คือไม่รู้ หลง ...ถ้าเกินกว่านั้นก็เช่น "มันทำไมถึงหนาววะ" นี่เกิน

"ทำไมมันไม่หนาวขึ้นกว่านี้วะ"...ไอ้นี่ก็เกิน ...ไอ้ที่ไม่เกิน..พอดี คือ หนาวก็..เออ หนาว หนาวมาก..เออ หนาวมาก หนาวน้อย..เออ หนาวน้อย ...นี่ ไม่เกิน พอดีกันตามธรรม

แล้วต่อไปจะเกิดภาวะที่ว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้ว  ไม่สนใจร้อน ไม่สนใจหนาวแล้ว ไม่เข้าไปบอกว่านี่หนาวนี่ร้อนแล้ว ...มันสนใจอยู่ในที่อันเดียวคือใจ

อยู่ที่ใจดวงเดียวเท่านั้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะหมดค่าไปในตัวของมันเองนั่นแหละ ...เพราะตัวมันเองก็ไม่มีค่าในตัวของมันอยู่แล้ว มันมีค่าเสมอศูนย์มาตั้งแต่ตั้งฟ้าตั้งแผ่นดินแล้ว

แต่เราก็มาหลงมันตั้งแต่ตั้งฟ้าตั้งแผ่นดินเหมือนกัน จนกว่าเราจะคืนความเป็นจริงสู่ธรรมชาติเดิมแท้ ...คือเขาเป็นกลางมาตั้งแต่กำเนิดแล้ว ของจักรวาล สังสารวัฏมันเป็นกลางในตัวของมันเองอยู่แล้ว

ดิน น้ำ ไฟ ลม เขาไม่ได้มีเจตนาหรอก ... เราน่ะไปติดเขา เราน่ะไปกลืนกินเขาเองด้วยความไม่รู้ ...เหมือนเหล้าน่ะ เหล้าไม่เคยเข้าปากมนุษย์ ถ้ามนุษย์ไม่เข้าไปยกมือจับมาดื่มกินมัน

เหล้ามันไม่เคยเดินเข้ามากรอกปากคนเลยนะ มีแต่เราน่ะไปหยิบเหล้ามากินเอง ...สังสารวัฏ โลก อนันตาจักรวาล เหมือนเหล้า...เขามีของเขา เขาตั้งของเขา

เราไปหยิบ เราไปต้อง เราไปจับ เราไปถือ เราไปยึด เราไปคว้า เราไปหมาย เราไปเสพมันเอง เราไปลุ่มหลงเขาเอง...เขาไม่ได้เรียกร้อง นั่น โดยสังสารวัฏ โดยความเป็นธรรม เป็นธรรมดาโดยปกติแล้ว

แต่เราไม่เห็นความเป็นจริงนี้ ไม่เห็นความเป็นจริงของธรรมนี้ มัวแต่เห็นแต่ความเป็นจริงของธรรมนั้นธรรมโน้น ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ มันก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปเรื่อย ด้วยความปรุงแต่งจนสับสนอลหม่านวุ่นวี่วุ่นวาย

เพราะนั้นมนุษย์โลกสี่พันล้านคนนี่...มันเห็นธรรมอันเดียวกัน มันยังเห็นไม่เหมือนกันเลย ...นี่ มันจะไม่เบียดเบียนทะเลาะกันได้อย่างไร เรื่องเดียวกันมันยังมีความเห็นไปได้หลายสิบแบบ

แม้แต่ตัวของเจ้าเอง เรื่องเดียวกันวันนึงมันยังมีความเห็นต่อเรื่องนั้นสี่ห้าแบบก็ยังได้ ...เห็นมั้ย มันเอาธรรมอะไรมาครอบงำในสิ่งที่ปรากฏนั้นตั้งหลายอย่าง

แต่ถ้าตั้งมั่นลงในธรรมอันเดียวเมื่อไหร่ จะเข้าใจ จะแจ้ง...ว่าธรรมนั้นคืออะไร ความเป็นจริงของธรรมนั้นคืออะไร ที่สุดของธรรมนั้นคืออะไร

บ่อยๆ อย่าเบื่อ อย่าท้อ อย่าขี้เกียจ ...ขี้เกียจ จะเก็บไว้ทำไมขี้น่ะ ขี้เกียจ ขี้คร้าน ขี้เกียจรู้ขี้เกียจเห็น จะปล่อยให้มันสบายๆ ปล่อย ไม่ต้องทำอะไรแล้วมันสบายดี มันคลาย มันเบา

เนี่ย พอเริ่มปฏิบัติแล้วพอกึ่งๆ แล้วมันจะขี้เกียจ  พอมันสบายดีแล้ว เข้าใจแล้ว มันก็เข้าใจ ฟังกี่ครั้งๆ อาจารย์ก็พูดเหมือนเดิมอ่ะ ไม่เห็นเปลี่ยนเลย ...มันเลยขี้เกียจฟัง ขี้เกียจทำไปเลย

มันชาชินนะ มันเกิดความชาชิน ...ต้องกระตุ้นตัวเอง เตือนตัวเอง อย่ามานอนตายนั่งตายอยู่ในโลกนี้หนา ติดคุกอยู่หนา เมื่อไหร่จะถูกปล่อยตัวได้อ่ะ ถูกคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตตลอดชาติเลย

อยู่แบบนักโทษจองจำนี่มันนอนใจได้มั้ย...ไม่ได้นะ  ถูกขังคุกโลก คุกจักรวาล คุกอนันตาจักรวาล...สามภพนี่เหมือนคุก ...ติดคุกอย่างนี้ ยังไม่ดิ้นรนขวนขวายที่จะเป็นอิสรภาพเลย ...ประมาท

พระพุทธเจ้าบอกอย่าประมาท ...ไม่ประมาทก็ต้องรู้ไว้ ไม่รู้อะไรหรอก..รู้ไว้ รู้อย่างเดียว เอาอันเดียวนี่ล่ะ ไม่เอามาก ...แล้วมันจะค่อยๆ เป็นอิสระจากคุกคือโลก จากข้อง

เหมือนกับข้องปลาข้องปูน่ะ โลกนี้คือคุกคือข้อง ...เราอยู่ในข้อง เขากำลังจะเอาไปแกง ไปฆ่า ไปขาย ไปต้ม ไปเผา ไปยำ...ได้หมดน่ะ มันมีแต่ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ

ปลาในข้องก็มีแต่ตายลูกเดียวแหละ ขึ้นหม้อแกงขึ้นโต๊ะอาหารนั่นน่ะ  สุดท้ายก็ที่หมายเดียวกันคือตาย แล้วก็เกิด...อย่ามัวประมาทอยู่ในคุกนี้ ...รู้ให้ชัด นิวรณ์เกิดไม่ได้น่ะ


(ต่อแทร็ก 6/30)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น