วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 6/22 (1)


พระอาจารย์
6/22(550104C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
4 มกราคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ศีล สมาธิ ปัญญา...ต้องมีสติเป็นตัวนำ ...ฝึกจนมีชีวิตเหลืออยู่แค่ขณะเดียวน่ะ ขณะเดียวคือขณะปัจจุบัน ไม่มีชีวิตเกินนั้น

โลกมีแค่ปัจจุบัน ...แต่ใจที่รู้ที่เห็นนั้นน่ะไม่มีอายุ เพราะไม่เกิดไม่ดับ ...แล้วมันจะเห็นเองว่า อะไรที่เป็นของเกิดดับ อะไรที่เป็นสิ่งมีอายุ...อย่าไปพึ่งมัน อย่าไปหวังมัน

แล้วมันจะเห็นชัดเจนขึ้นไปว่า...ใจนี่ไม่เกิดไม่ดับจริงๆ  ใจรู้ใจเห็นนี่...ไม่มีอายุ ไม่มีสัณฐาน ไม่มีประมาณ ไม่มีกาลเวลา ...เหนือกาลเวลา

แต่ถ้าออกนอกจากนี้ไปนี่...ตกอยู่ภายใต้กาลเวลา  มีความเสื่อม มีอายุ มีอดีต มีอนาคต มีการตั้ง มีการดับ มีการเพิ่ม มีการลด ...พึ่งไม่ได้ อย่าไปหวังพึ่งมัน

อย่าไปเอามันมาเป็นสรณะ อย่าไปเอามันเป็นที่พึ่ง ...ถ้าเอามันเป็นที่พึ่ง แรกๆ มันก็เหมือนกับของย้อมแมวขายน่ะ ใช้ดี ใช้ง่าย ใช้คล่อง ...สุดท้ายก็พัง ของเก๊ เป็นของปลอม

แต่ถ้าไม่เข้าใจ ยังปัญญาน้อย ปัญญาอ่อนอยู่ ก็... “หาใหม่สิ หาเอาใหม่” ...มันก็จะไม่หยุดในการหา ตัณหามันก็จะผลักดันให้เกิดการแสวง ให้หาของมาใช้อยู่...คือภพชาติ ความรู้สึก ก็คือเวทนาต่างๆ นานา 

แต่สุดท้ายปลายสุดก็คือมันไม่คงอยู่ ไม่จีรัง นั่นน่ะเป็นโสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส ...วนเวียนอยู่ในปัจจยาการขั้นต่ำข้อสุดท้ายอยู่ตลอดไม่ขยับเขยื้อน ไม่กระตือรือร้น ถอยกลับเข้ามาที่ปัจจยาการต้น

เพราะนั้นให้จำไว้เลย ตัวต้นเหตุของปัจจยาการ...คือรู้ คือใจ  พยายามน้อมกลับให้ใกล้ชิดใจมากที่สุด ...เพราะนั้นสตินี่เป็นอุบาย ระลึก..รู้  เห็นมั้ย ระลึกเพื่อให้เกิดภาวะรู้

แต่รู้แล้วรู้ก็ไม่ค่อยอยู่ รู้แล้วก็รู้ไป ...เพราะว่าภายในนี่มันส่ายอยู่ตลอด  กิเลสปรุงแต่ง ความไม่รู้ปรุงแต่ง คอยเสนอแนะต่างๆ นานา  ความเห็นที่เป็นทิฏฐิสวะที่มันฝัง เป็นเสนามารอยู่รอบใจนี่

ก็ต้องตั้งมั่น อยู่ที่รู้ให้มั่น นั่นสมาธิ คือสัมมาสมาธิ...ตั้งมั่นที่ใจ ...ไม่ใช่ตั้งมั่นที่ลม ไม่ได้ตั้งมั่นที่อะไร หรือคำบริกรรม หรือว่าคิดนั่นคิดนี่

แต่ตั้งมั่นลงที่ใจดวงเดียวนั่นแหละ รู้อยู่เห็นอยู่ อยู่ที่รู้อยู่ที่เห็นนั่นน่ะ เรียกว่าสัมมาสมาธิ

เมื่อตั้งมั่นตรงนั้นปุ๊บนี่ จิตมันก็หยุด จิตมันก็อยู่ในที่อันเดียว ...มันก็จะเกิดสภาวะที่เรียกว่าเห็น เห็นสิ่งที่รายล้อม เห็นสิ่งที่เข้ามา เห็นสิ่งที่ออกไป ...อ๋อ ไอ้นี่เข้ามา  อ๋อ ไอ้นี่กำลังออกไป

แล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไม่มากับสิ่งที่เข้า กับสิ่งที่ออก ...ไอ้สิ่งที่ออกคือความปรุงแต่ง ไอ้สิ่งที่เข้าคือผัสสะ คือขันธ์ที่ปรากฏ

แล้วก็มีการปรุงแต่งกับขันธ์ เช่น ได้ยินเสียงด่า เอ้า เขาด่า “ด่าเราทำไม” ...นี่ ปรุงแล้ว ปรุงกับเสียงแล้ว ...นี่ ถือว่าเขาเข้ามากระทบ 

นี่ เสียงเข้า ...เข้าหูปุ๊บ แล้วจิตออกไปรับเสียง ...มันไม่ออกไปรับด้วยความเป็นกลางหรือความมีปัญญา  มันรับแล้วมันปรุงไปซ้ำว่า นี่ เขากำลังด่าเรา ...มันปรุงออกไปนี่ เห็นมั้ย

ถ้าไม่ตั้งมั่นอยู่จริงๆ นี่ จะไม่เห็นว่า ไอ้นี่เข้า-ไอ้นี่ออกๆ ...แล้วมันจะละอะไร ...มันก็หลงออกไป คราวนี้ก็ไหลตามเสียงไป ไหลตามรูปไป

เขาแสดงอากัปกริยาอย่างนี้ ก็ว่าเขาแสดงอาการตำหนิเรา หรือรังเกียจเรา ดูหมิ่นเราด้วยอาการอย่างนั้นอย่างนี้  หรือการกระทำอย่างนี้ดี การกระทำอย่างนี้ไม่ถูก ไม่งาม ไม่เหมาะสม ...พวกนี้มันปรุงออกไป 

แล้วมันไม่เห็นเลยว่าอันไหนเข้า...อันไหนออก  มันปะปนกันไปหมดเลย ไม่รู้ว่ากิเลสเขา...หรือกิเลสเรา ...ส่วนมากก็ว่าแต่กิเลสเขา...เขาไม่ดีๆ ...จริงๆ มึงน่ะไม่ดี ไอ้ข้างในนี่ไปปรุงกับอาการนี้ 

แต่ถ้าตั้งมั่นดูดีๆ มันก็จะเห็นว่าไอ้ที่ข้างนอกเข้ามานี่สักแต่ว่ารูป ไอ้ที่ข้างในออกไปก็คือสักแต่ว่าจิตไปปรุงกับรูป แล้วก็เป็นเรื่อง พั่บๆๆๆ ...เนี่ย มันเห็นโดยตลอดนี่ ปัจจยาการของการเกิดหรือการดับน่ะ

แต่ถ้าไม่มีฐานที่ตั้ง ที่รู้ที่เห็นอยู่ ...อะไรก็ไม่ชัด ปัญญาก็ไม่เกิด ...ไอ้อะไรที่ไม่ชัดนั่นคือไม่มีปัญญาเกิด ไอ้ที่ชัดคือมันแจ่มใสชัดเจนโดยรอบเลยว่าอย่างนี้...มันเข้าแล้วออกไปอย่างนี้

แล้วจะแก้ปัญหายังไงดี มันก็รู้เองในตัวของมันเองว่าจะแก้ยังไง ...มันจะแก้โดยที่กูจะลุกขึ้นไปต่อยมันเลยมั้ยล่ะ หรือว่าแก้ด้วยการที่รู้เฉยๆ แล้วก็ ..เออ สุดท้ายก็ไม่มีอะไร ก็ดับไปทั้งสองฝั่ง

ต่อไปมันก็จะเท่าทันถึงว่า ขณะที่ตาเกิดรูปขึ้น แล้วจิตเกิดปรุงพอดีกันปุ๊บ...มันจะเห็นพอดีพร้อม  แล้วก็...พั้บ ดับทั้งคู่  นั่น มันจะเกิดความพอดีกันจริงๆ ...มันแจ่มชัดขึ้นตรงนั้น

แล้วก็หยุดหมด...ปัจจยาการต่อเนื่องหมด ปุ๊บ ดับ วาบหาย ณ ขณะปัจจุบันนั้น ...เห็นมั้ย พอดับซ้ำๆๆ เห็นซ้ำซากๆ ปุ๊บ ในความดับไปนี่ ...มันจะเห็นแจ้งเข้าไปว่า...เอ๊ ดับแต่ละขณะนึงนี่ ขันธ์ห้านี่ดับ

มันเห็นขันธ์ห้านี่ดับเลยนะ ...ไม่ใช่ดับแค่เสียงนะ ไม่ใช่แค่ดับแค่รูปที่เห็นนะ ...มันดับทั้งขันธ์ห้าเลย  

เชื่อมั้ยล่ะ ...ไม่เชื่อลองดู ...ดูให้มันพอดีกันเป๊ะๆๆๆ  แล้วก็ตรงนั้นน่ะ ขันธ์ห้าดับพั้บ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ...ความจำก็ดับ อดีตก็ดับ อนาคตก็ดับ เหมือนลืมไปเลย

แล้วก็ไม่ได้นึกถึงอีกเลยว่ามันเคยมี เคยว่าอะไร  มีใครเคยพูดอะไร หรือมีสัตว์บุคคลไหนมาว่า ...ไม่รู้อะไร มันหายไปหมด ...นั่นน่ะขันธ์ห้ามันดับ โลกตรงนั้นก็ดับหมดทั้งโลกธาตุ

พูดนี่ดูเหมือนยิ่งใหญ่นะ แต่จริงๆ นิดเดียวเอง ที่มันเห็น ที่มันดับตรงนั้นน่ะ ...แต่มันอาศัยความดับไปบ่อยๆ เห็นความดับด้วยตัวของมันเอง ซ้ำลงไปๆ

ภาวิตา พาหุลีกตา ซ้ำซากอยู่อย่างนั้นน่ะ จนมันยอมรับ ...ปัจจัตตังมันก็เกิดขึ้นภายใน...อ๋อ เข้าใจแล้วๆ ...มันเข้าใจเองน่ะ ไม่มีใครมาบอก

มันเข้าใจด้วยอะไร...สันทิฏฐิโก คำว่าสันทิฏฐิโกคือ มันรู้เองเห็นเอง ด้วยญาณทัสสนะที่มันแจ่มชัดอยู่  แรกๆ ที่เห็นแจ่มชัด เรียกว่าญาณทัสสนะแจ่มชัด

พอมันแจ่มชัดจน..อ๋อ เข้าใจแล้วๆ ไม่มีอะไร ทุกอย่างมันเป็นแค่นี้เอง ...แล้วก็หมด หมดภาวะที่เข้าไปรุงรังหรือไปพัวพันกับการเกิดการดับนี้ หรือไม่มีการต่อเนื่องออกไปอย่างนี้

ญาณวิมุติทัสสนะก็เกิดตรงนั้น ...ไอ้ที่แจ่มชัดแล้ว มันละขาดตรงนั้น...ขาดลงในปัจจุบัน ...แล้วมันก็ขาดลงในทุกปัจจุบันๆ

จากนั้นไปน่ะ มันจะเหลือแต่ดวงใจดวงเดียวเท่านั้นน่ะ ที่ไม่เกิดไม่ดับ  มันไม่สนใจแล้วไอ้ของเกิดๆ ดับๆ ...เหมือนหลุยส์วิตตองเก๊น่ะ ต่อไปโยมเห็นโยมก็ไม่เหลียวตามองเลยน่ะ

มันรู้ว่าเก๊แน่ๆ ไม่มีค่า ไม่มีสาระ ไม่เอาเลย ไม่แตะเลย ไม่หันไปมองเลยจิตที่มันรู้เห็นแจ่มชัดแล้ว มันจะเห็นเลยว่าโลกเป็นของอย่างนี้...วิตตองเก๊ เวอร์ซาเซ่ปลอม อะไรอย่างนี้

แต่ถ้าเรายังเห็นมันมีคุณค่าอยู่เมื่อไหร่ ก็ยังหยิบจับ นึกภาพถึงเวลาที่ใส่แล้วมันภูมิใจ แล้วมันก็คิดว่ามี มันคิดว่าเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้ามันเห็นว่าเป็นของไม่มีจริงแล้วนี่ หรือเห็นว่าเป็นของไม่มีสาระแล้วนี่ ...มันจะผ่าน ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไร เหมือนไม่มีสาระสำคัญใดๆ

ไม่มีความหมายต่อใจ...ที่มันจะเข้าไปสำคัญมั่นหมาย หรือออกไปปรุง ไปแต่ง ไปแต้ม ไปคว้า ไปครอง ไปครอบครอง ไปตีตรา

มันก็เป็นอิสระออกจากโลกออกจากขันธ์ไปตามลำดับ ไปเรื่อยๆ ...จนขาดๆๆ ขาดออก ออกจากโลก ออกจากขันธ์อยู่ตลอดเวลา ... ยิ่งรู้ยิ่งออก..ยิ่งเห็นยิ่งออกๆ

เห็นแต่ของปลอมทั้งนั้น ไม่มีของจริงเลย ไม่มีอะไรจริงเลยๆ ...เหลือจริงอยู่ตัวเดียว มันฆ่าไม่ตายขายไม่ขาดจริงๆ ...นั่น มันก็ยืนหยัดเป็นกระต่ายขาเดียวอยู่ตรงที่ใจที่เดียวนั่น ไม่ออกไปที่อื่น

อยู่ตรงไหนก็เหมือนกับเป็นแผ่นฝ้าน้ำแข็งบางๆ ลอยอยู่ในน้ำอย่างนี้ จะไปยืนอยู่มั้ย ...ซึ่งแต่ก่อนน่ะอาศัยมันเป็นที่พึ่งอาศัย อาศัยมันเป็นที่อยู่ที่อาศัย อาศัยมันเป็นเครื่องยังประโยชน์ให้

ต่อไปไม่มีอ่ะ ก็รู้สึกเหมือนกับแผ่นน้ำแข็งบางๆ มองเห็นอย่างนั้นหมดเลย ไม่มีคุณค่าพอที่จะไปยืน ไปหยั่ง ไปเหยียบ ไปแตะ ไปต้อง ไปถือครอง หรือไปอยู่อาศัยกับมัน

ความขาดไปจากภพ ความขาดไปจากอดีต ความขาดไปจากอนาคต จะหดลงๆๆๆ ...เพราะนั้นไปนับเอาเลย ไปนับชาติเอาตรงนั้น ว่าเหลือกี่ชาติดี ...มันรู้เองน่ะ 

ไม่ต้องไปถามครูบาอาจารย์หรอก ...มันรู้เลย ถ้ายังไปแบบจรวดเจ็ทที่เติมไอพ่นจนเต็มเปี่ยม กูจะพุ่งไปหาจักรวาลทั่วจักรวาล นั่น ไม่ต้องถามว่ากี่ชาติ ...นับภพไม่ถ้วน

จนมันรู้เองว่าไอ้จรวดเจ็ทนี่ เชื้อเพลิงมันเริ่มหมดแล้ว ร่อยหรอ เหลือนิดเดียว  ไปได้แป๊บนึง ไม่ไกลแล้ว ตกม้าตายซะตั้งแต่ออกจากตาหูจมูกลิ้นไปกระทบนี่ พั้บ มันจะเหลือสั้นลงเองตรงนั้น

แล้วมันก็ถูกจำกัด ...ยิ่งใช้ไปเรื่อยๆ  เชื้อเพลิงมันใช้ไปโดยไม่เติมนะ ใช้แบบไม่เติม ...มันรู้อยู่นะ รู้อยู่ไม่หลง ถ้าหลงนี่ก็เติมนะ ...ตัวหลงน่ะเป็นตัวเติม

ตัวหลง เผลอเพลิน ตัวเอา ตัวจงใจ ตัวเจตนา ตัวอยาก ตัวไม่อยากนี่เป็นตัวเชื้อเพลิง ...อย่าไปเติมให้มัน ...ถ้าไม่เติมปุ๊บมันก็วิ่งไปๆ มันก็หมดไป ใช้ไปหมดไปๆ

รู้ไปละไปๆ รู้ไปเห็นไปละไป ...สุดท้ายมันหมดแรงขับเคลื่อนออกมาแล้ว  จะไปไหน...ไม่ไปแล้ว  มันก็หมดไปโดยธรรมชาติ ตามธรรม ตามเหตุอันควรแก่ธรรมอันควรนั้นๆ

แต่ถ้าธรรมอันควร...มันไม่เป็นธรรมอันควรน่ะ เป็นธรรมที่เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน เป็นภวตัณหา วิภวตัณหา ...ก็เป็นธรรมที่จะก่อเกิด

แต่ถ้าเป็นธรรมอันควรก็เป็นธรรมที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา หรือปัญญาญาณที่รู้ละ รู้วาง รู้ปล่อย รู้ถอน มันก็เป็นธรรมอันควรที่..ยิ่งมีตัวนี้มาก มันก็ยิ่งหมดกำลังทะยานออกไปมากขึ้นเท่านั้น

แต่ถ้าไปเติมเชื้อเพลิงนี่...ตัณหา อุปาทาน ความทะเยอทะยาน ความใคร่ ความอยาก ความแสวงหา ความคำนึงไปถึงอดีตอนาคตอยู่เสมอ ...มันต่อเนื่อง

มันก็เหมือนกับเติมเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์พร้อมจะแล่น พร้อมจะโลดแล่นออกไป...ข้างหน้า-ข้างหลังอยู่ตลอดเวลา ...มันไม่มีทางหมดได้ 

(ต่อแทร็ก 6/22  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น