วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 6/21 (2)


พระอาจารย์
6/21(550104B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
4 มกราคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/21  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นถ้ารู้...ระลึกได้...กลับ..กลับบ้านเราคือใจ นั่นล่ะสาระสูงสุด ...นอกนี้ไปไม่มีสาระ ...คำว่าไม่มีสาระอะไร คือมันไม่มีแก่นสาร คือมันไม่มีตัวตนที่แท้จริง 

มันมี...ชั่วคราว แป๊บนึง...แล้วก็ดับ ...ซึ่งคำว่าแป๊บนึงนี่ก็อาจเป็นชาติก็ได้นะ...แต่ยังไงก็ดับ ...อย่างแป๊บนึงของอรูปนั่นก็ไม่รู้กี่ล้านปี ใช่ป่าว ความว่างในอรูปน่ะ 

ดูอาฬารดาบส อุทกดาบสนี่ จะผ่านพระพุทธเจ้าตั้งไม่รู้กี่พระองค์...นั่นก็แป๊บนึง (หัวเราะกัน) ...แต่ยังไงก็แป๊บนึง จะแป๊บนานหรือแป๊บสั้นแค่นั้นเอง

เพราะนั้นถ้าออกนอกใจแล้วนี่ ไม่มีสาระหรอก  เพราะไม่มีตัวตนที่แท้จริง มีแค่ชั่วคราว ...ปัญญาต้องชัดตรงนี้ มันจะต้องเห็นไตรลักษณ์จนชัดจริงๆ 

ถึงขนาดที่ว่าละวางทุกสิ่งโดยไม่อาวรณ์น่ะ โดยไม่หวนคืนน่ะ ...เสียดายมั้ยล่ะ เสียดายความสุขที่ยังไม่ถึงมั้ยล่ะ  เสียดายธรรมมั้ย ที่เราไม่ทำอย่างนี้แล้วคิดว่าเราจะไม่ได้ธรรม ...เสียดายมั้ย 

ถ้าเสียดายก็ยังไม่ถึงน่ะ ...มันก็ไปเอา วิ่งไขว่คว้าหา ตะกุยตะกายหาดาว จะได้ดาวสักดวง ...เอ้า พอได้ดวงนึง..ร้อยตรี  ร้อยตรีก็ไม่พอ เดี๋ยวกูจะขอร้อยโทสักหน่อย  ร้อยโทไม่พอจะขอร้อยเอก

แล้วร้อยเอกไม่พอ ก็จะต้องหาชฏามาครอบซะให้เป็นพัน อย่างนี้ ...ไม่จบหรอก ถ้ายังออกไป หลงไปกับมัน หลงไปกับอะไรก็ตามที่ออกนอกจากรู้นี้ออกไป

ทำยังไงถ้าไม่อยากออกไปนอกรู้นี้ ...ก็รู้อยู่กับธรรมหนึ่ง แล้วสังเกตธรรมหนึ่งนั้นด้วยความเป็นกลาง จนเห็นธรรมหนึ่งที่ปรากฏต่อหน้านี้...มันเกิด ตั้ง แล้วดับไปเป็นธรรมดา

นี่คือให้เห็นไตรลักษณ์...มากๆ ...ไอ้ความทะเยอทะยานออกไป...ข้างหน้า-ข้างหลังนี่จะน้อยลงเอง ...นั่น ปัญญาเกิด เพราะเห็นไตรลักษณ์

เพราะนั้นปัญญาที่แท้จริงคือมันต้องเห็นไตรลักษณ์  มันถึงจะหยุด มันถึงจะพอ ...ถ้าไม่งั้นน่ะ มันก็จะคิดว่า มีอะไรที่ตั้งมั่นดีกว่า สำคัญกว่าใจ ...สุขกว่าใจ สุขกว่าแค่รู้เฉยๆ นี่

อยู่อย่างนี้ มันเหงาน่ะ มันไม่สุขเลยน่ะ ...'ถ้าได้สภาพธรรมนั้น ถ้าได้สภาวธรรมนี้ อย่างที่เราเคยได้นะ' ...แหม มันพอง มันติด...มันติดใจน่ะ

มันเกิดความพอใจ พึงพอใจ หรือว่าใคร่ในธรรม ...ความใคร่ในธรรมนั่นน่ะคือราคะ เป็นราคะตัวหนึ่ง...แต่ราคะละเอียดนะ ...ไม่ได้ใคร่ในรูปนะ  มันใคร่ในธรรม นามธรรม

เวลาอย่างพวกเรา...ผู้ชายเห็นผู้หญิง ผู้หญิงเห็นผู้ชาย นี่ก็ชอบ...ด้วยกามราคะ นี่ อยากมากๆ ...แต่ถ้านั่งสมาธิแล้วเห็นแสงสี ชาตินั้นชาตินี้ อดีต-อนาคต แล้วตรงเป๊ะๆ ...นี่น่าใคร่ยิ่งกว่าอีก 

มันติดยิ่งกว่าอีก บอกให้ ...มันลึกซึ้งกว่าอีก ติดถอนยากกว่าราคะในชายหญิงนี่อีก ...ยิ่งละเอียดเท่าไหร่ยิ่งติดลึก บอกให้ ...เพราะนั้นต้องมั่นจริงๆ ...ใจนี่ต้องแข็งแกร่งมาก ไม่เคลื่อน ไม่ขยับ 

ท่านถึงเปรียบว่าใจที่ตั้งมั่นนี่เหมือนเสาอินทขิลน่ะ ฝังลงดินสี่ศอก ขึ้นบนดินอีกสี่ศอก ไม่มีโยกคลอน ...ไม่ว่าอะไรผ่านมาๆ  ไม่ว่าอะไรกระทบ กระแทก กระเทือน นี่ ตั้งมั่นลงที่ใจรู้ใจเห็นอยู่ดวงเดียวเท่านั้น  

มันจึงจะแจ้งในสรรพสิ่ง แจ้งในธรรมทั้งปวงว่า...เกิดขึ้นธรรมดา ตั้งอยู่ธรรมดา แล้วมีความดับไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง ดับไปในที่สุด 

นั่น ต้องตั้งมั่นอยู่ที่นี้ที่เดียว มันจึงจะเห็นธรรมทั้งหลายทั้งปวงนี่เป็นไตรลักษณ์ โดยไม่มีข้อแม้และเงื่อนไขไม่มีข้อแม้และเงื่อนไขใดๆ ที่จะให้ออกนอกใจเลย

ทิ้งความปรุงความแต่งใดๆ ซะ ...เพราะระหว่างที่เราตั้งมั่นอยู่นี่ มันจะมีเซลส์แมนเสนอขายของ กระซิบอยู่เรื่อย แช้ดๆๆๆ ..." ต้องยังงั้นนะ ต้องอย่างงี้นะ อย่างนี้ไม่ได้ยังไม่ถึงหรอก"

นี่ เซลส์แมนเสนอขายของทั้งวี่ทั้งวัน จนปวดหัวน่ะ ไม่รู้จะเลือกของอันไหนดี  ของมึงก็ดี ของกูก็ดี  อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ใช่  อันนั้นก็ควร อันโน้นก็สำคัญ อันนู้นก็ หูย ยิ่งโคตรสำคัญเลย

แล้วเราก็... "หลงอีกแล้วครับท่านๆ ...อีกแล้วหรือวะ อีกแล้วทุกที กูไม่น่าเลยๆ" ...เพราะนั้นก็ตัดอกตัดใจ เอาจนมันตั้งมั่นอยู่ในที่อันเดียวนั่นแหละ 

จะข้างหน้า ข้างหลัง  หูตาจมูกปากคอลิ้น อายตนะทั้งหก ไม่มีไหลเลื่อน ไม่มีอะไรจะมาทำให้เคลื่อนคล้อยออกจากรู้เห็นนี้...ภายในนี้ได้เลย

เรียกว่าเกิดภาวะที่เรียกว่าหลุดพ้น หลุดพ้นออกจากอายตนะ หลุดพ้นจากขันธ์ หลุดพ้นจากโลก...เป็นขณะ ...คือหลุดพ้นนี่ยังต้องมีอาศัยแรงดึงดูดของศีลสมาธิปัญญาอยู่ภายในนะ

แล้วก็หลุดพ้นไปเรื่อยๆ ...หลุดพ้นคือไม่เข้าไปเกลือกกลั้ว เจือปน หรือว่าไหลไปไหลมากับมัน ...นี่แหละ ศีลสมาธิปัญญาจะเป็นตัวเหนี่ยวรั้งไว้ให้ตั้งมั่นอยู่ภายใน

เพราะยังไงผู้ปฏิบัติ...ตั้งแต่เสขะบุคคลลงมายันปุถุชนนี่ ยังต้องอาศัยศีลสมาธิปัญญาอยู่ตลอด เป็นตัวประคับประคองใจไว้ ...ยกเว้นพระอเสขะ คือพระอรหันต์เท่านั้น

แต่ถ้าพระเสขะบุคคลลงมาถึงปุถุชนนี่ ต้องอยู่กับศีลสมาธิปัญญาเสมอเลย ...ไม่งั้นใจไม่อยู่ ใจไม่ตั้ง ไม่มีทางเลยๆ ที่ใจมันจะตั้งขึ้นมาเองโดยธรรมชาตินะ

เพราะมันจะใจอ่อนใจเบากับเซลส์แมนนี่แหละ แนะนำอยู่เรื่อย ...แนะนำตัวเองไม่พอนะ ยังไปถามคนอื่นให้ช่วยแนะนำอีก ทำอย่างนั้นดีมั้ย คุณเคยทำมั้ย แล้วดีมั้ย

หรือไปเงี่ยหูฟังเขา ...ไม่ถามก็เงี่ยหูฟังเขา แบบครูพักลักจำน่ะ …นี่คือหาเรื่องไปอยู่ตลอด ว่างั้นเถอะ ...จิตที่ไม่รู้นี่มันหาที่เกิด เป็นสันดาน ท่านเรียกว่าอนุสัย คือสันดาน

เพราะนั้นก็ต้องมีสันดานใหม่ คือสันดานของความตั้งมั่น รู้ตัว เป็นกลาง แน่วแน่ภายใน ...นี่ก็เป็นสันดาน คือเอาสันดานที่ไม่ดีกับสันดานที่ดีมาลบล้างกัน ...เอาให้ชนะกัน

จนมันหยุดอยู่ในที่ภายในนี้ ไม่ไปไม่มา ไม่ซ้ายไม่ขวา ไม่หน้าไม่หลัง ไม่มีไม่เป็น ไม่เอา ...ทิ้งอย่างเดียวๆๆๆๆๆ  รู้ละ รู้แล้วก็ปล่อย รู้แล้วก็วาง  รู้อีกวางอีกๆ  รู้อีกละอีกๆ  เห็นอีกละอีก

ยังไงก็คือหน้าที่มีอย่างเดียว...รู้อะไร...ละอันนั้น เห็นอะไร...ละอันนั้น ...ละไม่ได้ก็ทนเอา อย่าไปกับมัน ถ้ามันยังไม่ดับ...ยังละไม่ได้ ก็อดทนเอา เนี่ย ตัณหาบางทีมันไม่ขาดหรอก ...อดทนเอา นี่ ขันติ

พอขันติได้สักหน่อยก็ขันแตก... "ไม่ไหวแล้วๆ" ...แล้วก็บอกว่าถ้าอดทนมากๆ เดี๋ยวเป็นโรคประสาท ต้องไปหาหมออีก ต้องให้หมอรักษาโรคอีก...เป็นโรคจิต

ความอดกลั้น อดทน...มีพระอริยะองค์ไหนที่ไม่อดทน...ไม่มีอ่ะ ...ท่านอดทนต่อกิเลสที่แผดเผา ไม่ไปไม่มากับกิเลสที่มันชักนำ ...อดทนทั้งนั้นน่ะ

ท่านไม่ได้มาอยู่แบบ...แหม สบาย ลอยไปในอากาศแล้วก็ถึงนิพพานเลยนี่...ไม่มีหรอก ...ท่านไปด้วยความอดกลั้นอดทน ถึงเรียกว่า ผู้ที่มีขันติที่สุดคือพระอรหันต์

เนี่ย ขันตี ปรมัง ตโป ตี ติกขา ...คือท่านทนๆๆๆๆ จนถึงที่ว่า จิตที่เหมือนแผ่นดินน่ะ  มันทนจนกลายเป็นแผ่นดินไปเลย ใจดวงนั้นน่ะ

ที่ว่าเหมือนแผ่นดินเป็นยังไง ...ขี้ก็ได้ เยี่ยวก็ได้ ทุกข์ก็ได้ ขุดก็ได้ เผาก็ได้ ดินไม่ว่าสักแอะ ...นั่น หนักแน่นปานแผ่นดินน่ะ

แล้วมันจะเริ่มมาได้ยังไง ...ก็เริ่มมาจาก อด..ทน รู้อยู่เห็นอยู่เท่านี้ ...จนมันขาด จนมันหลุดออกจากห้วงกระแสของโลก ของขันธ์ ...มันขาด

เหมือนยิงหนังสติ๊กน่ะ ...ระหว่างที่ดึงหนังสติ๊กนี่ มันต้องมีแรงดึงอยู่อย่างนี้นะ  เดี๋ยวมันก็...ถ้าทางนี้ดึงหมดแรงปุ๊บ มันก็จะคล้อยเข้าไป ...พอศีลสมาธิปัญญามาก็ดึงออก

ถ้ามันยังไม่ขาด เดี๋ยวมันก็ดึงเข้าไปอีก  ดึงเข้า-ดึงออกอยู่อย่างนี้ ...อดทนนะ ระหว่างนี้ก็ต้องขืนอยู่อย่างนี้ ...มันไม่สบายหรอก มันเรื่องทุกข์ทั้งนั้นน่ะ

เพราะมันจะวิ่งไปหาทุกข์เรื่อยไป ไอ้กูไม่ไปมันก็ดึงให้กูไปอยู่นั่นน่ะ ...ก็ดึงแล้วดึงอีกๆๆๆ พอแรงตรงนี้มากกว่า ก็ยิ่งดึงยิ่งห่างๆ ...นี่ เอาจนเปื่อย เอาจนขาดน่ะ ...ผึง

พอมากกว่านี่ มันขาด...ขาดออกจากขันธ์ ขาดออกจากโลก ขาดออกจากกระแสความหมุนวนของจักรวาล ...อนันตาจักรวาลเป็นภาวะหมุนวน คือจักรวาลน้อยใหญ่ ก็คือขันธ์ห้านี้แหละ

แต่ว่าจะขาดจากจักรวาล ต้องขาดจากขันธ์นี่แหละ ...จนเหลือใจที่เป็นอิสระออกจากขันธ์น่ะ ถึงจะลืมตาอ้าปากได้ ...ซึ่งกว่าจะลืมตาอ้าปากได้นี่ เหมือนหมาหอบแดดเลย

เพราะนั้นไอ้ตอนนี้ก็อย่าขี้เกียจ อย่าขี้เกียจรู้ อย่าขี้เกียจเห็น ...ขยันรู้ไว้ เนืองๆ เป็นนิจเลย เป็นนิสัย เป็นสันดาน อะไรเกิดขึ้น...รู้ ...ไม่เอาอะไรน่ะ รู้อย่างเดียว

สติระลึกเข้าไป ...โกรธก็รู้ ไม่โกรธก็รู้  สบายใจก็รู้ ไม่สบายใจก็รู้  อยากก็รู้ ไม่อยากก็รู้  สงสัยก็รู้ สงสัยมากก็รู้  ยึดก็รู้ ไม่ยึดก็รู้  ติดก็รู้ ไม่ติดก็รู้ 

อะไรก็ได้...รู้ไว้ ฝึกไว้ ...อย่าไปออกไปหาอะไรมารู้  ไม่มีอะไรก็รู้ กำลังหาก็รู้ กำลังอยากก็รู้ เอ้า ...รู้มันเข้าไป  เอารู้น่ะแหละเป็นตัวตั้งกับทุกสิ่ง

ถ้าไม่มีอะไรแล้วมันจะหลง มันจะเพลิน เผลอ ...รู้กายไว้ เอากายเป็นหลัก ยืนเดินนั่งนอน มันมีกายอยู่ตลอดเวลา ...ดูตรงไหนก็เห็น รู้ตรงไหนก็ได้ ตำรวจไม่จับ 

ตำรวจมันจับแต่คนหลง จับไปติดคุก ชอบติดคุกมั้ง ...โลกเป็นคุก จักรวาลของโลกเป็นคุก การเกิดการตายเหมือนคุก ยังงั้นแหละ ถ้าหลงน่ะตำรวจจับเข้าคุกเลย 

ถ้ารู้กายเห็นกายนี่ ตำรวจไม่จับ จับไม่ได้ไล่ไม่ทันหรอก ถือว่าเล็ดลอดออกมาจากคุกได้แว้บนึง ...แว้บนึงยังดีนะ ดีกว่านอนกระดิกตีนอยู่ในคุกน่ะ ...ประมาท 

ก็ว่า...ไม่เป็นไร ฮู้ย เพื่อนเยอะ หลายพันล้านคนเลย เยอะแยะไปหมด เราจะรีบไปไหน ...ออกมาแว้บนึง นี่เหงาว่ะ ไม่เห็นมีเพื่อนเลย นั่น (หัวเราะ) พอหันกลับไปดู โห เพื่อนเยอะในคุก ...เลยกลับไปใหม่

นั่น อย่าไปเกรงใจโลกเขา อย่าไปคิดว่า...แหม เดี๋ยวเขาจะว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ "แหม ไปบวชเป็นพระซะสิ มาทำอะไร" ...เนี่ย ก็เลยเกรงใจ 

เออ ว่ากันไป ตามกันไป ตามกิเลสกันไป เฮไหนเฮนั่นแล้วกัน ...ไปไม่รอดหรอก มันก็ติดคุกแบบประเภทที่เรียกว่า ไม่ได้ผุดได้เกิด ไม่ได้อภัยโทษ

แล้วอยู่ในคุกน่ะมันก็จะโดนความผิดซ้ำซาก เบียดเบียนกัน ทะเลาะกัน มีเรื่องกัน เห็นแก่ตัวกัน เอารัดเอาเปรียบกัน ข่มเหงรังแกกัน เอาคืนกันไปเอาคืนกันมา

มันก็โดนพิพากษาซ้ำๆ อยู่ในนั้น เหมือนกับบ้านเป็นคุก คุกเป็นบ้านอยู่อย่างนี้ ..แต่มันมองไม่เห็นว่าโลกนี้เหมือนคุก แล้วก็วนอยู่ในคุกนี้ ตาย-เกิดๆๆๆ 

เราบอกให้เลย คนนึงๆ สัตว์บุคคลนึงๆ นี่...เกิด-ตายมานี่ กระดูกกองสูงกว่าภูเขาอีก ...ไม่ใช่มันเกิด-ตายกันมาแค่ชาติสองชาติซะเมื่อไหร่

แต่มันไม่เห็นกัน ไม่รู้กัน ...มันเลยว่า “ฮู้ย ไม่เห็นเป็นไรเลย ตายแล้วก็ไม่รู้ไปไหน ช่างหัวมัน เดี๋ยวไปๆ มาๆ เดี๋ยวก็เลื่อนไหลเข้านิพพานไปเอง” ...นี่เป็นซะงั้น


(ต่อแทร็ก 6/22)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น