วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 6/20 (2)


พระอาจารย์
6/20 (550104A)
4 มกราคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/20  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นตัวสัมมาทิฏฐิจริงๆ นี่ มันจะรู้ชอบเห็นชอบได้ มันจะต้องเป็นความเห็นเดียว...รู้อันเดียว เห็นอันเดียว 

ไม่ได้รู้หลายอัน ไม่ได้เห็นหลายอย่าง ไม่ได้เห็นกายเป็นหลายอย่าง หลากหลาย ...ไอ้นั่นมันเห็นตามที่จิตมันปรุง

แต่ถ้าเห็นกายตรง ชัด ...มันจะเห็นอันเดียว รู้อันเดียวว่ามันเป็นอย่างนี้  ไม่มีคำพูด ไม่มีสมมุติ ไม่มีความหมาย เป็นธรรมที่ปรากฏเพียวๆ ของมันเองน่ะ ...นั่นแหละ เรียกว่าสัมมาทิฏฐิในกายก็เกิด 

เมื่อสัมมาทิฏฐิเกิด ก็รู้แจ้งเห็นแจ้งในกาย ...นั่นแหละมรรคที่แท้จริง อยู่ในองค์มรรค ...เพราะนั้นมรรคก็ตรงลงไปที่ธรรม...กายเป็นธรรมล้วนๆ 

ก็รักษาไว้ สติก็คอยรักษาไว้ รักษาสัมมาทิฏฐิไว้  อย่าให้เคลื่อน...อย่าให้เคลื่อนด้วยความคิดความเห็นใด ด้วยความปรุงแต่งใด ...เอาจนมันขาดจากความปรุงแต่งในกาย กับกายนั่นแหละ 

แล้วพอมันเริ่มชัด หรือว่าเริ่มแน่วแน่ลงที่กายอย่างนี้แล้วนี่ ...ลักษณะนั้นน่ะ มันไม่ใช่ว่าไม่มีอาการของจิต...เดี๋ยวก็มีความคิด เดี๋ยวก็มีอารมณ์ ความรู้สึก อะไรก็ตาม...มันมี เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมาให้เห็นเองน่ะ 

ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องไปจ้อง ไม่ต้องไปหาความจริง ไม่ต้องไปเพ่งอะไรในนั้นน่ะ ...ให้รู้ทัน ว่าหลงคิด หลงปรุง เป็นเรื่องอดีตบ้าง เป็นเรื่องคนนั้นคนนี้บ้าง

ก็ไม่ต้องสนใจ...แน่วแน่ลงที่กายอย่างเดียว ...ก็จะเห็นว่านามธรรมทั้งหลายทั้งปวงนี่ ก็สักแต่ว่านาม สักแต่ว่าจำ สักแต่ว่าคิด สักแต่ว่ารู้สึก 

มันก็จะเห็นความปรากฏของนามธรรมทั้งหลายนั้นดับ ...เพราะไม่มีจิตที่ไม่รู้ด้วยอำนาจของโมหะ ตัณหา อุปาทาน เข้าไปประคับประคอง หรือไปพยุงให้มันเกิดความต่อเนื่องยืดยาวคราวไกล

เหมือนกับเวลาเราเกิด มันก็เกิดจากสเปิร์มกับไข่ นี่ เพราะความสืบเนื่อง มันก็มีแขนมีขา มีหน้ามีหลัง มีหัวใจมีเครื่องใน  มันก็เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นคน สามารถทำการทำงานได้

เหมือนกัน ...ถ้าเราไม่เข้าไปยืดเยื้อกับมัน ด้วยความไม่รู้แล้วก็ปรุงหาเหตุหาผลบ้าง หาความจริงอะไรของมัน พวกนี้ ...นามธรรมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มันตั้งอยู่ได้ไม่นานหรอก

มันก็หมดเหตุปัจจัยในตัวของมันเองน่ะ ...ใจผู้รู้ผู้เห็นนั้นก็จะเห็นนามนั้นดับไปเป็นธรรมดา ในตรงนั้นน่ะ ตรงระหว่างที่เราดูกายรู้กายอยู่นั่นแหละ ...ไม่ต้องกลัว

เพราะนั้นรู้กายเห็นกายแล้ว ยังไงยังงั้ย มันก็เห็นนามอยู่ในตัวของมันเองนั่นแหละ ...มันก็เป็นธรรมอันเดียวกันหมด สุดท้ายมันก็เป็นธรรมอันเดียวกันหมด

เรื่องกาย เรื่องนาม ใจผู้รู้นี่ ...ด้วยความเป็นปัจจัตตัง...ที่มันรู้ตรงตามสัมมาทิฏฐิปุ๊บนี่ มันจะเข้าใจสภาวะนามไปในตัวด้วย

แต่ถ้าเราจะเอาแต่ดูจิตดูอารมณ์ เอากายไว้ทีหลัง หรือเอากายเป็นเรื่องของหยาบนี่  บางทีเราจะหลงเข้าไปในเขาวงกต หลงไปในความคิดโดยไม่รู้ว่าหลง หลงไปในอดีตอนาคตโดยไม่รู้ว่าหลง

แล้วมันก็ยังว่ามันมีสติอยู่ บางครั้งมันก็ยังบอกว่า ก็ดูอยู่นี่ ก็รู้อยู่นี่ ...มันรู้ยังไง รู้แล้วทำไมหน้าดำคร่ำเครียด รู้แล้วทำไมมันกังวล รู้แล้วทำไมมันวิตก รู้แล้วทำไมมันยังสงสัย หือ

ยังสงสัยกับความคิด ยังสงสัยกับอารมณ์ ยังสงสัยกับอดีตอนาคตอยู่ ยังสงสัยกับธรรมที่ยังไม่ปรากฏอยู่ ยังสงสัยกับเรื่องที่ว่าจะเจออะไรต่อไปข้างหน้า ยังพัวพัน ยังกังวล

นี่ หลงแล้ว วนแล้ว มันวนเข้าไปในโลกของนามธรรม ...กลายเป็นโลก  กลายเป็นตัว กลายเป็นตน  กลายเป็นเรา กลายเป็นเรื่องของเราไปแล้ว

เพราะนั้นถ้ามีสติระลึกรู้ขึ้นได้นี่ ให้ทิ้งตรงนั้นเลย ทิ้งอาการนั้นทันที ...กลับมาตั้งมั่นลงที่กายใจ กายปัจจุบัน รู้กายปัจจุบัน นั่นแหละ กลับมาอยู่ที่กายใจในปัจจุบันซะ

แล้วพยายามรักษาใจไว้ให้เป็นหนึ่ง รักษาใจให้เป็นหนึ่ง...จำไว้ให้มั่น  อย่าให้แตกออกเป็นสองสามสี่ ...รวมจิตรวมใจให้เป็นหนึ่งอยู่ภายใน คือดวงจิตผู้รู้ผู้เห็นนั่นแหละ

จิตมันก็จะมารวมกับใจ ...จิตที่มันไปๆ มาๆ  มันก็จะรวมอยู่กับใจ เป็นผู้รู้ดวงเดียว หนึ่งเดียว...จิตหนึ่ง เพื่อมารู้ธรรมหนึ่ง ...ในที่นี้เราเอาธรรมหนึ่งคือกายเป็นหลัก

แล้วพอมันปรุงแต่งออกมาเป็นนามปุ๊บ แล้วมันทันปั๊บ ...นามนั้นก็เป็นธรรมหนึ่งที่ปรากฏอีก แล้วก็มีผู้รู้อีกเป็นจิตหนึ่งที่รู้อยู่  ใจหนึ่ง...รู้อยู่กับนามที่ปรากฏ ...นามนั้นก็เป็นธรรมหนึ่ง

พอธรรมหนึ่งดับไปปุ๊บ มันก็มารู้ธรรมหนึ่งที่เป็นกายต่อ เพราะกายนี่มันต่อเนื่อง มันไม่หาย  มันมีความสืบเนื่องยันตายน่ะ

นามธรรมมันยังดับ มาเป็นระลอกๆ ระยะๆ  เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็ไม่มีๆ เดี๋ยวก็เป็นช่วง เดี๋ยวก็หายไป เห็นมั้ย นามนี่ บางทีก็เป็นเรื่องอย่างนั้น อย่างนี้

แต่จริงๆ น่ะ เรื่องนามนี่นะ...พอมันไม่มี มันก็อยู่ในภาวะอย่างที่เราบอกว่า เวลาคิดก็รู้ว่าคิด แต่เวลาไม่คิด...มันไม่รู้ว่าไม่คิด  เวลาโกรธมันก็รู้ว่าโกรธ เวลาไม่มีอารมณ์โกรธ...มันไม่รู้ว่าไม่โกรธ

เข้าใจมั้ย มันหายไปกับหลงน่ะ มันหลงไปกับภาวะที่ไม่มีไม่เป็น ...ตรงนี้ คือจุดบอดของการดูจิต  มันไม่รอบคอบ มันไม่ถี่ถ้วน มันหลงตลอด ...รู้ตลอด...ก็หลงตลอด บอกให้

แต่กายนี่ มันสืบเนื่อง มันตั้งอยู่ ...อย่างลมหายใจเข้า-ออกก็มี...ยันตายน่ะ ไม่หายนะ ...มันก็เกิด-ดับสลับกัน สืบเนื่องกัน ต่อเนื่องกัน...ตลอดเวลา 

กายนี่ดำรงคงอยู่ตลอด ...แต่ว่ามันเกิดดับเป็นลักษณะของขณิกะ เกิด-ตายๆ อยู่ภายใน เป็นขณิกะ ...แต่ว่าการดำรงคงอยู่ของรูปขันธ์นี่ สืบเนื่อง...จนวันตาย

เพราะนั้น สุดท้ายท้ายสุดนี่ เมื่อเข้าใจอะไรถี่ถ้วนหมดแล้ว เห็นดีแล้ว เห็นชอบแล้ว ทุกขันธ์...ยังเหลือแค่ลมหายใจเข้าออกกับรู้แค่นั้นแหละ

นามนี่ หายไปเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรเลย ...มันเป็นแค่อะไรวูบๆ วาบๆ แค่นั้นเอง  เป็นแค่อะไรปล้อบๆ แปล้บๆ ยิบๆ ยับๆ  ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรหรอก ...แค่นั้นเอง

ถึงจะเป็นเรื่องก็กลวงๆ  มันเป็นเรื่องกลวงๆ ข้างใน  เหมือนกองฟางน่ะ ...มันไม่มีแก่นสาร ไม่มีสาระอะไร  ก็แค่นั้นน่ะ แล้วก็ฟึ่บไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คิดเหมือนไม่ได้คิด ทำเหมือนไม่ได้ทำ มีอารมณ์เหมือนไม่มีอารมณ์ อือ หายไปแล้ว ไม่ได้จริงจังใส่ใจอะไร ...แล้วมันเหลืออะไร เวลามันหายไปแล้วมันเหลืออะไร

เหลือลมหายใจเข้า-ออก ฟืดฟาดๆๆ อยู่นี่ ...หรือไม่เหลือลมหายใจเข้าออก ก็เป็นเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ...มันก็มี ไม่หายไปไหนหรอก

เพราะนั้นกลับมาตั้งมั่นให้ดีกับกาย...มากๆ ...เพื่ออะไร ...เพื่อให้รู้ชัด รู้อยู่ มันจะได้อยู่ ...ไม่งั้นรู้มันไม่อยู่ รู้มันร่อนเร่พเนจรไปกับจิตโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...จิตน่ะมันพาเที่ยวสามโลกธาตุ

จิตน่ะมันพาไปเที่ยว แล้วก็บางทีก็เพลินไปกับจิตที่มันท่องเที่ยวไปในอารมณ์นั้น ในอารมณ์นี้ ในสภาวธรรมนั้นสภาวธรรมนี้ ...บางทียังไม่มีสภาวธรรมเกิดเลย มันก็พาไปเที่ยวไว้ก่อนแล้ว

คือเที่ยวไปในอนาคตไง ฝันหวาน ...เดี๋ยวก็ได้โสดาบันแล้ว เดี๋ยวก็ได้เห็นเหมือนคนอื่นเขาเป็น นั่งอมยิ้ม ...สภาวธรรมยังไม่เกิดเลยนะ มันฝันไปถึงนั่น จิตมันพาไปเที่ยวแล้ว

ก็ไม่ไป...รู้อยู่ ให้มันตื่นอยู่ ตื่นอยู่ๆ  ตื่นรู้ตื่นเห็นอยู่ในธรรมปัจจุบัน ...ถือกายเป็นธรรมปัจจุบัน มันชัดที่สุดแล้ว เพื่อให้เกิดความระลึกรู้ ตื่นรู้ขึ้น ...ไม่เอาอะไรเลย นอกจากจิตตื่นจิตรู้

ไม่ต้องไปเอาธรรมะอะไร ไม่ต้องไปเห็นธรรมะอะไร เอาจิตตื่นไว้กับปัจจุบัน ...ถ้ามันไม่ชัดก็ให้มันรู้กับกายไว้ ให้มันตื่นรู้ตื่นเห็นอยู่กับกาย ...ให้มันแจ้งไปเลยว่ากายนี่มันเป็นอะไร  

มันมีใครนั่ง อะไรมันนั่ง นั่งเป็นของใคร ...ใครเย็น ใครร้อน ใครหนาว หรือไม่มีใครหนาว ไม่มีใครร้อน...มีแต่ร้อน มีแต่หนาว มีแต่กระเทือน มีแต่ขยับ มีแต่นิ่ง...ไม่มีใครนิ่ง ไม่มีใครขยับ 

นี่ ดูไป ถี่ถ้วน มนสิการ...ด้วยโยนิโสมนสิการ แยบคาย...ให้ใจตื่นรู้น่ะมันเห็นกายด้วยความแยบคาย ...ไม่ใช่ทึกทักเอาแบบตามความเห็นความเชื่อของคนในโลกว่าเนี่ย ก็เรานั่งอยู่น่ะ

พอถามว่า เห็นมั้ยว่ามีใครนั่ง ...ก็ว่าเรานั่งอยู่น่ะจะไปบอกว่าใครนั่งล่ะ ...นี่ เขาเรียกว่าทึกทักเอา  แล้วมันเชื่อแบบหัวหกก้นขวิดเลยนะ ดูยังไงๆ ก็เป็นเราอยู่ดี ...ดูยังไงวะ กูดูยังไงก็ไม่เห็นเป็นเราเลย

มันก็พูดกันอยู่นั่นแหละ ...มันตามความเห็น ถูกความเห็นผิดมันปิดบังจนไม่แก้ไขน่ะ ไม่เลิกละถอดถอน ไม่จำแนกแยกธรรมออกเป็นสัดส่วนไป

ถ้าดูด้วยความตั้งมั่น เป็นกลาง ...ใจน่ะ ใจรู้ใจตื่นมันกลางแล้ว  ไม่ต้องไปทำกลางตรงไหน มันรู้กลางๆ อยู่แล้ว ตัวรู้น่ะให้กลาง รู้กลาง ...ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปดีใจเสียใจอะไร

รู้กลางๆ ตรงนั้นแหละ  มันก็จะเห็นตรงแน่ว ชัด โดยไม่มีความเห็นใดๆ มาสอดแทรก ...นั่นล่ะ ในขณะนึง อาจจะเห็นแค่ขณะนึงแวบนึงก็ได้ ...เคยเห็นมั้ยล่ะ

พอเห็นแวบๆ แล้วก็ดูให้มันต่อเนื่อง เห็นให้มันต่อเนื่องไป ...มันก็เริ่มเอะใจขึ้น...เหมือนกับมันเอะใจขึ้นในตัวมัน...เป็นชวนะขึ้นมา

อย่างว่า...เฮ้ย มันไม่ได้ว่ามันเป็นใครของใครจริงๆ ว่ะ  มันก็เป็นก้อนๆ หนึ่งน่ะ ก้อนนึงน่ะ ไหวน่ะ ...นี่ กลืนน้ำลาย มันเป็นอะไรของใครล่ะ มันบอกมั้ยว่าเป็นใคร

มันก็เป็นแค่อาการนึง วูบนึง แล้วก็ดับไปซะงั้นน่ะ  ไม่มีตัวไม่มีตนหลงเหลือแล้ว ...ตัวตนมันแค่ชั่วคราว พั่บ ...แค่นั้น นั่นน่ะกาย

ไปๆ มาๆ พอเห็นกายไปอย่างนี้ เห็นเป็นแค่ผัสสะหนึ่งย้ายไปย้ายมา สลับไปสลับมา  เดี๋ยวแข็ง เดี๋ยวอ่อน เดี๋ยวไหว เดี๋ยวนิ่ง เดี๋ยวขยับ เดี๋ยวเคลื่อน อย่างนี้ ...รูปกายนี่มันจะแตก รูปกายนี่จะแตก


(ต่อแทร็ก 6/20  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น