วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 6/27 (2)


พระอาจารย์
6/27 (550106E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 มกราคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/27  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นั่น คำแรกที่เราพูด บอกว่า “ตายแน่” (โยมหัวเราะกัน) ...พูดกันไปเลยนี่  ไม่ต้องมาอ้อมค้อม ไม่ต้องมาโอ้โลมปฏิโลม ไม่ต้องมาสอพลอ ไม่ต้องมาเสแสร้ง

ก็บอก “ตายแน่ ตายแน่ๆ ยังไงก็ตายแน่ แล้วดูท่าทางท่านต้องตายก่อนผมแน่ๆ เพราะดูแล้วตามความเป็นจริงนี่ แน่ๆ เลย ผมไม่ต้องคิดไม่ต้องถาม ท่านต้องตายแน่ๆ ก่อนผม

และผมก็เห็นว่าหลวงปู่ก็ตายไปก่อนล่วงหน้าแล้ว และท่านตามมา แล้วเดี๋ยวผมตามไปต้องยอมรับ อย่ากลัว อย่ากลัวตาย อย่าคิดว่าจะเหนือมัน อย่าคิดว่าจะแก้มัน จะให้มันดีขึ้นกว่าเดิม ...อย่าคิดทั้งสิ้น

ตอนนี้ ท่านภาวนาอะไรมาผมไม่รู้ ท่านไปหาครูบาอาจารย์มากมายมหาศาล ร่อนเร่ไปทั่ว นักธุดงค์น่ะ ผมไม่รู้ ...อุบายน่ะ ไม่มีผลแล้ว ใช่ไม่ได้หรอก

เอาแค่ว่าเดี๋ยวนี้น่ะ มี “รู้” อยู่ไหม...อยู่ตรงนั้นน่ะ ... อยากตาย..รู้  ไม่อยากตาย..รู้ อยากให้มันหาย..รู้ กลัวตาย..รู้ ตายแล้วจะไปไหน..รู้ว่าคิด ห่วงคนข้างหลังเขาจะอยู่กันยังไง เงินทองจะเป็นยังไง..รู้

มีวิธีเดียว ท่านต้องเอาตรงนี้ให้อยู่ ...จะมาพิจารณาเอาชนะเวทนา แยกเวทนาเป็นส่วนๆๆๆ จะเอาพุทโธเป็นที่ระลึกรู้ ให้มันรวม พิจารณากิเลสเป็นตัวๆ ขึ้นมา ...ไม่ทันกินหรอก

นั่น ก็ฟังตั้งแต่เราว่า “ตายแน่ๆ” ยันประโยคสุดท้ายตอนนั้น ชั่วโมงกว่า ...น้ำตาไหล ยกมือพนมมือ ผงกหัว จากที่ว่าเข้าขั้นจะโคม่านะ จากนั้นมาก็ฟังทุกวัน เทศน์ออกลำโพง...ยันมันตายน่ะ 

ตายแล้ว ตายไปแล้ว นี่ กำลังจะเผาอยู่ที่ขอนแก่น ...ก็ตายให้มันสมศักดิ์ศรีหน่อย ตายแบบไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่ใช่ตายแบบงอก่องอขิง ตายแบบกล้าๆ กลัวๆ ตายแบบไม่รู้จะไปไหน 

จะไปกลัวทำไม ตายแน่ๆ ยังไงก็ตาย...มันไม่ต้องกลัวหรอกว่าไม่ตาย ...จะตายเจ็บ ตายไม่เจ็บ จะเจ็บจนตาย ไม่เจ็บจนตาย ...ยังไงก็ตายอยู่ดีน่ะ  

ตาย-ไม่ตายนี่ไม่สนใจหรอก ถามว่า รู้มั้ย ถามว่ามีรู้มั้ย ...ก็บอก ที่ผมพูดนี่ไม่ใช่อะไร นี่ก็ว่าไป ท่านก็ลูกศิษย์หลวงปู่ ผมก็ลูกศิษย์หลวงปู่ ...หลวงปู่สอนอะไร ดวงจิตผู้รู้ใช่ไหม 

ท่านไม่ได้สอนอะไรมากมายกว่านั้นหรอก พูดแล้วตื่นตีสามมาก็ดวงจิตผู้รู้ ทุ่มนึงมาก็ดวงจิตผู้รู้ (โยมหัวเราะกัน) ท่านเทศน์มาตั้งสี่สิบห้าสิบปีก็วนเวียนอยู่แค่นี้ ...ท่านจะมาเก่งกว่าหลวงปู่อีกหรือ 

นั่นแหละ ก็เอาจนตายน่ะ เทศน์กันจนวันตายน่ะ ...แต่บอกแล้วว่า อาศัยที่ว่า หนึ่ง เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ สอง เคยภาวนา สาม เราไปตบกะโหลกเรียกสติให้คืน เข้าใจมั้ย

บางทีมันก็ทำไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ภาวนามันก็เรื่อยเปื่อยนะ มันไม่มีหลักน่ะ มันจับหลักไม่ถูก ...ก็ต้องเตือนกัน แรงบ้าง เบาบ้าง โอ้โลมบ้าง ปฏิโลมบ้าง เพื่อให้ฟื้นจิตตื่นขึ้น

ตายแล้ว ยังเป็นผีมาหลอกอีก แน่ะ มาแบบชุดขาวมาเลย มานั่งนี่ มาจากไหน ถามไม่พูดไม่ตอบ ช่างหัวมึง ไปเหอะ คงไม่ได้ไปเป็นแม่ชีอ่ะนะชุดขาวนี่ มากราบแล้วก็ลาไป ฮื่อ สุคติเป็นที่ไป

เกิดมาก็มาเป็นกันต่อ เวลามีชีวิตอยู่ ให้ดู ให้รู้ ให้เห็น...อยู่กับที่อันเดียว ...ก็ดันไปเจริญภาวนาแบบอินเทรนด์เอาท์เทรนด์อยู่นั่น เวลาคับขันนี่ ทำยังไง หือ ภาวนามาเป็นสิบๆ ปี เกือบยี่สิบปี ช่วยอะไรได้ไหม

น้ำตาน้ำหูไหล ดิ้นทุรนทุราย ห่วงนั่นกังวลนี่ ...ขาดไหมนี่ ถึงเวลาตายนี่ มันมีแต่ภาระที่ยังไม่เสร็จสิ้นทั้งนั้น ไอ้นั่นก็ยังไม่ได้ ไอ้นั่นก็ยังไม่พร้อม ไอ้นี่ก็ยังไม่ควร สุดท้ายก็ยังไม่สมควรตาย

มันจะวนอยู่ในภาวะจิตสังขาร จิตมาร กิเลสมาร วนอยู่ ขี่ม้ารอบเมืองอยู่อย่างนั้น ...เพื่ออะไร เพื่อไม่ให้กลับคืนสู่ใจเดิมใจแท้ที่เป็นแค่ผู้รู้ผู้เห็นเท่านั้น

เพราะนั้น ระหว่างอยู่ดีมีแรง กินดี กินข้าวขี้ออกนี่ ...สติมีมั้ย รู้ไว้ เจริญไว้ ตั้งมั่นเอาไว้ ฝึกไว้ ปัญญามันจะได้เกิดมากขึ้น สติมันจะได้ตั้งมั่นลงลึกขึ้น

สมาธิมันก็มาแน่วแน่ในที่อันเดียวมากขึ้น เข้าใจมั้ย ถ้าปัญญามันมากขึ้นแล้วนี่ มันก็จะแน่วแน่ในที่อันเดียวมากขึ้นคือใจ...ลงที่ใจ ลงที่ผู้รู้มากขึ้น

อะไรนอกนั้น...ก็ละก็วาง ก็ละก็ปล่อย ไม่เอา ...ไม่เอามันก็เห็นในความดับไป เป็นไตรลักษณ์ เป็นธรรมดา มันก็เป็นเงาของปัญญาเกิดขึ้นมากขึ้นตามตัวอีก

เวลาคับขันนี่ ก็ไม่ต้องเรียกไม่ต้องหา ไม่ต้องไปโทรข้ามมาจากหัวหินมาถึงเชียงใหม่นี่ ให้เทศน์เจ็ดโมงเช้าเจ็ดโมงเย็น ถึงจะตามสติให้ฟื้นขึ้นมาได้นี่

ให้เป็นแบบบ๋อย ไปกินอาหารในร้านน่ะ เรียกบ๋อย น้ำหมด น้ำแข็งหมด ข้าวหมด สั่งกับ ...เรียกมันทั้งวัน เรียกมันทุกขณะ จนบ๋อยมันยืนตัวลีบ ไม่กล้าไปไหน เพราะมึงเรียกกูจังๆ ...นั่น สติ เหมือนบ๋อย

ไม่ใช่กินไป เพลิน มัวคุยไป เมาเพลินแล้ว ไม่รู้จะสั่งอะไร ...บ๋อยรอจนจะหลับแล้ว กูไปทำงานที่อื่นดีกว่า เพราะโต๊ะอื่นเขาเรียกใช้มากกว่า นั่น

พอถึงคราวจะใช้ เรียกบ๋อยๆ อยู่ไหนวะ ...เรียกก็ไม่มา หาก็ไม่เจอ เห็นมั้ยสติไม่มา สมาธิไม่ตั้ง ปัญญาไม่มีหรอก …ก็เรียกใช้บ่อยๆ บ๋อย...สตินี่

แล้วก็ใช้ให้ถูกงาน ...ไม่ใช่เรียกบ๋อยมาสมคบคิดกัน กูจะไปปล้นที่ไหนดีวะ มึงว่าแขกคนไหนรวย มันอยู่ตรงไหน อย่างนี้...คือรู้แล้วไม่อยู่ รู้แล้วไป 

รู้แล้ว...จะทำยังไงต่อ  รู้แล้ว..จะทำยังไงกับมันดี  รู้แล้ว..ดีหรือไม่ดีวะอย่างนี้ ถูกหรือผิด  รู้แล้วสงสัย ...ไอ้นี่เขาเรียกว่าสมคบกับบ๋อยชั่ว

ถ้าบ๋อยดีคือ...รู้อยู่ ทำงานตามตรง รู้แล้วตั้ง รู้แล้วจิตอยู่  รู้แล้วอยู่กับรู้ รู้แล้วรู้ชัดเห็นชัดอยู่ภายใน ตั้งอยู่ภายใน ...นั่นน่ะ บ๋อยดี ใช้บ๋อยเป็นสัมมา

ไม่งั้นบ๋อยมันก็พาไปเมาแอ๋อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แนะนำตรงนั้นตรงนี้ ...ที่นั้นครับนาย ที่นั้นบรรยากาศก็ดี ดนตรีก็ไพเราะ อาหารก็อร่อย จิตใจท่านจะเบิกบานผ่องใส นิพพานน่ะอยู่ใกล้ๆ เลยแหละ

นั่น เสร็จบ๋อย ไป ที่ไหนก็ไป ขอธุดงค์หน่อย มีเท่าไหร่ใช้ให้หมดกับตรงนั้น ...นั่น สุดท้ายโดนหลอก พาวนเวียนไปเสร็จ บ๋อยตีหัวปัง ปลดทรัพย์ (หัวเราะ)

เนี่ย ถูกหลอกฆ่าอีกแล้ว ไม่ได้อะไรเลย “หนูไม่น่าเลย เราไม่น่าเลย รู้งี้ไม่ไป รู้งี้ไม่คิด รู้งี้ไม่ปรุง รู้งี้ไม่หาซะดีกว่า” ...นั่น รับวิบากไป วิบากทุกข์ทั้งนั้น

เพราะนั้นรู้ไว้ อยู่กับรู้  สติมีไว้เพื่อรู้ แล้วก็ตั้งลงที่รู้ ดวงจิตผู้รู้ ...แล้วจากเป็นผู้รู้แล้ว เอามาเห็นธรรมตามจริง อันไหนไม่จริงทิ้งไป อันไหนจริง...อยู่กับมัน อดทนอยู่กับมัน

เพราะมันแสดงไม่บิดเบือนหรอก ธรรมนี่ไม่บิดเบือน มันตรงในตัวของมันเองอยู่แล้ว ...แต่เราน่ะเป็นผู้ปฏิบัติที่ไม่ตรง ไม่ดี ไม่ชอบ ไม่สมควรแก่ธรรม...มันก็ไม่เห็นธรรม

ถ้าตรง ดี ชอบ สมควรแก่ธรรมแล้ว...ก็จะเห็นธรรม และเป็นธรรม เข้าถึงธรรม รู้ธรรมเห็นธรรมตามจริง ...ก็เรียกว่าเป็นผู้เข้าถึงธรรม

ถ้าเข้าไม่ถึงธรรมมันก็เลียบๆ เคียงๆ แล้วก็ร่อนเร่อยู่นอกธรรม แล้วก็บ้าบอไปกับธรรมมั่ว ธรรมเมา ธรรมมัว ธรรมที่มีความปรุงแต่งจากอำนาจความไม่รู้ อำนาจของตัณหาอุปาทาน 

อำนาจของกามตัณหา วิภวตัณหา อำนาจของราคะ อำนาจของโทสะ อำนาจของโลภะ พวกนี้มันจะปรุงแต่งเป็นธรรมขึ้นมาล่อหลอกให้เราลุ่มหลงมัวเมาอยู่เสมอ

อย่าตาม อย่าไปเห็นดีเห็นงามกับมัน อย่าไปคบมันเป็นเสี่ยวเป็นสหายเป็นเพื่อน ...มันโจร สันดานมันเป็นโจร สุดท้ายคือนำทุกข์นำโทษ นำเภทภัยมา นำความสุขน้อยทุกข์มากมาเสมอแหละ 

ถึงแม้มันจะเอาว่าดูเหมือนเป็นสุขมากมาให้เราเชื่อ มาให้เราหลงก็ตาม ...สุดท้ายสุขนั้นก็ดับไป มีแต่ความทุกข์คืนมาเท่าเก่า ไม่ได้ดีไม่ได้ร้ายกว่าเดิมหรอก ...มีแต่ทุกข์กับทุกข์ทั้งสิ้น

เนี่ย จนมันฉลาดรู้ ฉลาดเห็น  รอบรู้ รอบคอบ เท่าทัน เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ มั่นคงอยู่ในที่อันเดียว ...ไม่เอาไม่มี ไม่ไป ไม่มา ไม่เป็นกับอะไรเลย

มีหรือมันจะไม่คลาย มีหรือมันจะไม่หน่าย มีหรือมันจะไม่จาง มีหรือมันจะไม่คลายออกจากความลุ่มหลงมัวเมาในธาตุ ในขันธ์ ในโลก ในธรรมทั้งหลายทั้งปวง

เพียรทั้งนั้นน่ะ อาศัยความพากความเพียร ...เพราะว่าระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ มันก็จะถูกกรอกหูอยู่เรื่อย ด้วยการรับรู้รับเห็น รับทราบในสภาวธรรม สภาวะวิถีธรรม 

การปฏิบัติธรรมของแต่ละสัตว์แต่ละบุคคล แต่ละผู้ภาวนา ...ผลของการปฏิบัติของแต่ละคน มันจะมาโยก มาคลอน มาสั่น มาไหวเราอยู่เสมอ

ก็ไม่เอาถูกเอาผิดกับอะไร ถูกก็ไม่เอา ผิดก็ไม่เอา...ไม่ใช่ไม่เอาแต่ผิด ถูกก็ไม่เอา  ดีก็ไม่เอา ชั่วก็ไม่เอา 

เอารู้อันเดียว รู้ที่เดียว นั่น เป็นตัวตัดสินธรรม ...ไม่ต้องเอาความคิดเป็นตัวตัดสิน ไม่ต้องเอาความเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง...แม้กระทั่งตัวเอง มาเป็นตัวตัดสิน

เอาใจเป็นที่ตัดสิน คือรู้อยู่ในรู้ เห็นอยู่ที่เห็น ...ตรงนั้นแหละเป็นที่ที่ตรงที่สุดแล้ว กลางที่สุดแล้ว สมควรที่สุดแล้ว สมดุลที่สุดแล้ว ยุติธรรมที่สุดแล้ว 

เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงมาถึงที่ใจแล้ว อยู่ที่รู้แล้ว อยู่ที่เห็นแล้ว...มันยุติ มันมีที่ยุติ มันมีที่จบ มันมีที่หยุด ...ถ้าออกจากตรงใจนี้ ธรรมนี้จะไม่ยุติ ไม่จบไม่สิ้น ไปเรื่อย

นั่น หักห้ามใจไว้ ด้วยสติสมาธิปัญญานั่นแหละ ได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ได้ต่อเนื่องเอาต่อเนื่อง ได้ไม่ขาดเอาไม่ขาด เอาให้มันเข้มข้นขึ้น ...ไม่ใช่ปฏิบัติไปจืดจางไป 

ไอ้กิเลสไม่ได้จืดจางนะ สติสมาธินี่จืดจาง แต่กิเลสนี่เข้มข้น ...มันปฏิบัติสวนทางกันรึเปล่า ดูเอา ถ้ามันปฏิบัติตรง แล้วดี ชอบแล้วนี่ สติสมาธิมันจะเข้มขึ้น ความเบาบางจะมากขึ้นๆ

ความหนาแน่น ความหนักหน่วง ความเสียดแทง ความกระเหี้ยนกระหือรือ ความทะเยอทะยาน การกระโดดกระโจนไปมา จะน้อยลงไปตามลำดับ จนถึงขั้นไม่มีเลย

ทุกอย่างผ่านไปเหมือนลมโชยมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่ะ ...ใจมันก็อยู่เหมือนกับแผ่นดินแผ่นหิน เหมือนเสาหินน่ะ นั่นน่ะผล ...เอาผลนั่นผลเดียวน่ะ ตรวจสอบได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ 

พอแล้ว สมควรแก่ธรรม นั่นแหละ


.....................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น