วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 6/26 (3)


พระอาจารย์
6/26 (550106D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 มกราคม 2555
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 6/26  ช่วง 2


พระอาจารย์ –  เวลาเจริญสติสมาธิปัญญาแรกๆ เลย จึงเป็นของน่าเบื่อ ...มันต้องอดทนอดกลั้น มันต้องใช้กำลัง ต้องมีประเภทคอยไซโคสนับสนุนอยู่เสมอ ไม่งั้นให้มันทำเอง มันไม่มีทางหรอก

ทำไปๆ เดี๋ยวก็หมดกำลังขึ้นมา ครูบาอาจารย์ก็ต้องคอยบอก “ทำไปเถอะ ทำไปเยอะๆ” นี่ ต้องมีนักจิตวิทยาคอยไซโคอยู่ข้างๆ ...ทำไปเหอะ สักวันนึง เดี๋ยวมันก็ได้ 

นั่น มันก็ฮึดสู้ขึ้นมา แล้วจนกว่ามันจะเห็นผลด้วยตัวของมันเองว่า...เออ เฮ้ย กูเริ่มเดินตรงทางแล้ว ทำไมแต่ก่อนกูจะไปตรงนี้ มันลงถนนอยู่ตลอดเลย มันเป๋ไปเป๋มา

เข้าใจมั้ย มันก็ล้มมั่ง ลุกมั่ง ชนเขา ไปเหยียบหัวแม่ตีนเขามั่ง โดนเขาเตะกลับมั่ง โซเซน่ะ ก็คนเมาเดินน่ะ ...นี่ พอมันเริ่มไม่กินเหล้า มันก็เริ่ม...อือ ตื่นน่ะ จิตตื่น

ตื่นรู้ตื่นเห็น มันก็สร่างเมาในระหว่างที่มันตื่น ไม่ใช่แฮงก์ตลอดวัน ...ถ้ามันแฮงก์ตลอดวันเดี๋ยวก็มีเรื่องชกต่อยกันไป คนเมาน่ะมันไปไหนตรงทางบ้างล่ะ มัวเมา  จิตมัวเมา

พอมันตื่น พอมันเริ่มเห็นผล ...เออ เฮ้ย พอเริ่มตื่นแล้วรู้สึกอะไรมันลงล็อกลงร่อง แล้วมันมีเรื่องมีราวน้อยลง มันสบายขึ้น มันไม่ค่อยมีธุระปัญหาอะไรกับอะไร 

ทีนี้มันก็เริ่มตั้งอกตั้งใจ ขยัน ละเอง เลิกเองได้ ...นี่ ครูบาอาจารย์ก็เป็นยันต์กันผี คือเอาไว้สอบถามสอบทาน เอาไว้ยืนยัน ...เออ ดีแล้ว ถูกแล้ว ใช่แล้ว เอาเลยลูกพ่อ (หัวเราะกัน) 

เชียร์ กองเชียร์ ...ครูบาอาจารย์เป็นแค่กองเชียร์นะ เป็นผู้แนะ เป็นเทรนเนอร์เท่านั้นนะ ...ไม่ใช่นักชกนะ ช่วยไม่ได้


โยม –  นักกีฬาเขาชนะตรงที่กองเชียร์ดีนี่นะคะ

พระอาจารย์ –  ก็ไม่แน่นะ บางทีมันก็บ้ากองเชียร์ ติดกองเชียร์ เห่อกองเชียร์ บ้ากันไป ...นักมวยมันต้องเล่นเองชกเอง เล่นจริงเจ็บจริง ไม่มีตัวแทน ไม่มีแตนด์อิน

เพราะนั้นจึงย้ำจึงเตือนอยู่นี่ว่า...อะไรที่เป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ ...แล้วก็อะไรที่เป็นมิจฉา

เพราะฉะนั้น การเคลื่อนไหว การยกมือยกไม้ เราไม่ว่า  มันก็เหมือนการภาวนาพุทโธ มันก็เหมือนกับกำหนดลมหายใจ มันไม่ต่างกันหรอก

แต่ว่าจุดเป้าหมายจริงๆ คืออะไร...คือจิตรู้จิตตื่น ...ทั้งหมด การภาวนาทั้งหมดน่ะ เพื่อกลับสู่จิตรู้ จิตตื่น ถ้าไม่เข้าใจหลัก ถ้าไม่ยึดหลัก มันก็จะเขว

เพราะมันจะมีผลข้างเคียงทางการกระทำที่แตกต่าง ...กำหนดลม กำหนดพุทโธ ก็จะได้ผลที่ต่างกัน  ยกไม้ยกมือก็ได้ผลที่ต่างกัน ยุบหนอพองหนอก็ได้ผลต่างกัน

แต่มันมีผลเดียวที่ไม่ต่างกัน จิตตื่น จิตรู้ ...ดูดีๆ เอาตัวนั้นเป็นหลัก ...นั่นแหละเรียกว่าเอาใจเป็นหลัก อย่าออกนอกหลักใจ

เพราะนั้นใจนี่ มันจะเป็นตัวคอยคัด คอยกรอง คอยเทียบเคียงว่า อะไรที่มันผิดออกไปจากใจนี่ ...อย่าเสียดาย อย่าไปบ้าบอคอแตก อย่าไปบ้าเห่อกับมัน

ความรู้ความเห็นอะไรที่เกิดมาจากการปฏิบัติน่ะ รูปนั่นนามนี่ เห็นนั่นเห็นนี่ ความจริงอย่างนั้น ความจริงอย่างนี้ เป็นความคิดความปรุงอะไรขึ้นมา เป็นภาพเป็นแสงเป็นสี สามมิติ ห้ามิติอะไร ก็บ้ากันไป

อย่าไปบ้าเห่อกับมัน อารมณ์ที่เกิดขึ้น ผุดโผล่ขึ้นในการภาวนา ซึ่งส่วนมากก็เป็นกุศล เป็นผลจากกุศล อารมณ์กุศล อารมณ์ดี ปีติ เบา โปร่ง โล่ง สบาย อะไรก็ตาม

ตื่นไว้ อยู่กับหลัก รู้ตื่นไว้ แน่ะ ต้องตั้งให้มั่น สมาธิต้องมั่น สัมมาสมาธิต้องคง ต้องมั่นคง ...ไม่อย่างนั้นมันจะหลงใหลไปกับอาการโดยไม่รู้ตัว

มั่นคงตรงแล้ว...ก็ไม่ใช่ไปนอนตายอยู่กับรู้ ไม่ได้นอนตายอยู่กับตื่นอย่างเดียว  ให้มันออกมาเห็นอาการโดยรวมโดยรอบ หรืออาการที่อยู่ต่อหน้ามัน ไม่ต้องไกลหรอก...แค่กว้างคืบยาววาหนาศอก

ถือกายนี้เป็นปริมณฑล ถือกายนี้เป็นวัด โดยมีผืนหนังเป็นพัทธสีมา เป็นขอบเขต ขอบขันธสีมา มีกระดูกเป็นเสาโบสถ์ ...นั่น เอากายเป็นวัด เอาใจเป็นนักบวช ใจรู้นะ

อย่าธุดงค์ อย่าออกธุดงค์มาก ไปเรื่อย คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ ไหลออกไปนอกปัจจุบัน นอกเหตุการณ์ปัจจุบัน เรื่องราวคนนั้นคนนี้ ...นั่นน่ะจิตมันกำลังออกธุดงค์

ก็ไม่ไปอ่ะ เป็นตาขรัวเฝ้าวัดไป กลับมาดูแลวัดวาอาราม กายใจ หนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ...เออ ถ้ามันกลับมาอยู่กับกายกับใจนี่จะเป็นยังไง กลับมาอยู่ในวัดในวา ไม่ไปเที่ยวไม่ไปเตร็ดเตร่ 

มันก็เห็นว่า...อ้อ นี่มันมีหยากไย่ใยแมงมุม มันเกาะอยู่ที่เสาโบสถ์ นี่มันไม่ค่อยเลื่อมไม่ค่อยมัน  มันมีตะไคร่เกาะกุม ไม่เห็นรูปร่างแท้จริงเลยว่ามันเป็นหลังคาหรือว่ามันเป็นตะไคร่น้ำกันแน่วะ

มันก็ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถู จนเห็นถาวรวัตถุ ที่สมควรจะเป็นถาวรวัตถุจริงๆ ...ไม่ใช่มีแต่กาฝากมาเกาะเต็มไปหมด พื้นก็มีแต่ขี้ฝุ่นขี้ตะไคร่ จนไม่เห็นว่าเขาปูกระเบื้องนะนี่ มันไม่ใช่ขี้ดิน

ก็ถ้ามันไม่อยู่วัดเลย มันจะสังเกตเห็นไหมล่ะ ...มัวแต่ตะลอนๆ จะไปธุดงค์หาอรรถหาธรรม ในขุนเขาป่าใหญ่ไพรกว้าง เงื้อมป่าเงื้อมเขา ที่ที่เขาว่าดี ที่ที่เขาว่าเห็นธรรมได้ง่าย

นั่น วัดก็ทิ้งให้เป็นวัดร้างซะอย่างนั้น พระก็ไม่อยู่ มีแต่โจร ...ถ้าพระไม่อยู่แล้ววัดก็กลายเป็นซ่องโจร ที่สุมหัวรวมตัวกันของเหล่ามิจฉาชีพ ออกไปจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาครอบครอง

จิตสังขารนั่นน่ะทำงาน ไปปล้นไปชิงเขามา...ให้ได้เกิดความสุขความทุกข์เป็นสมบัติ แล้วก็มานั่งยิ้มกริ่มอยู่ ...พอเจ้าอาวาสกลับมาวัด เอ๊ ไปได้ของอย่างนี้มายังไง ใครเอามาให้

ก็โจรมันมานี่ มันก็เหมือนกับชาวบ้านทำบุญใส่บาตร ...ที่จริงมันเป็นโจร พอหลวงตาออกนอกวัด กูก็ครอบครองวัดซะเลย เอาวัดเป็นศูนย์บัญชาการซะ

ทำกายสกปรก จิตสกปรก ธรรมสกปรก ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมที่เป็นผิด ...หลวงตากลับมาก็ดีอกดีใจ เอ๊ะ ทำไมมีน้ำมีข้าวอยู่เต็มบาตร สุขดีสบายดี เออ ไม่รู้ที่มาที่ไป

มันของขโมยมา รับซื้อของโจร รับกินของโจร มันเป็นกรรมไหมนี่  ไปก่อทุกข์ก่อโทษภายนอกโดยไม่รู้ตัว กลับมานั่งกินหน้าตาเฉยเลยนะ เฮ้ย มันสมรู้ร่วมคิดกับโจรรึเปล่า

เนี่ย เลยติดคุกซะอย่างงั้น หลวงตาเลยโดยจับติดคุกซะ...ทุกชาติไป  มาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในคุก คือโลก...คุกใบใหญ่  มีคุกเล็ก...คือกายคือวัดนี่ 

ก็ให้กลับมาดูแลวัดใหม่ เป็นการทำโทษ ...แต่พอได้ดูแลวัดใหม่ ก็หนีธุดงค์อีกแล้ว ...จะไปหาธรรม...เหมือนเดิม ต่อเนื่อง ซ้ำซาก วนเวียน

เมื่อใด วันใด เวลาใด ชาติใด...กายใจตรงกันพอดี มีผู้รู้ผู้เห็น ดูแลรักษาวัดวาอารามขอบขันธสีมา ไม่เที่ยวไปเที่ยวมาในสามโลก ...มันก็จะเป็นการชำระขัดเกลาอาสนะที่อยู่อาศัย คือกาย คือจิต คือขันธ์

ตาหูจมูกลิ้นก็ถูกล้างออก ขี้หูจะได้ออกซะบ้าง ขี้ตาจะได้ออกไป จะได้แจ่มชัด  ขี้หูออกไปจะได้ยินเสียงชัดเจนว่า มันไม่ใช่ชาย มันไม่ใช่หญิง  มันเป็นลมมากระทบกับแก้วหู บึ้บๆๆ

ดีก็ไม่ใช่ ร้ายก็ไม่ใช่ คุณก็ไม่ใช่ โทษก็ไม่ใช่ ชมก็ไม่ใช่ ด่าก็ไม่ใช่  เป็นแค่เสียงกระทบกันบึ้งๆๆ แล้วก็ดับไปวูบๆๆ ...นั่น ชำระตะไคร่ กาฝาก คือความเห็นผิดต่างๆ นานา

มันมาปกคลุมจนมองไม่เห็นเลยว่า เฮ้ยนี่มันโบสถ์หรือวะ เอ๊ะนี่มันวัดหรือ นี่เสาปูน หรือเสาไม้ หรือเสาเหล็กวะนี่ มองไม่เห็นว่าอะไรเป็นเสา เสามันมาจากไหน เสาที่แท้จริงคืออะไร

อยู่ไปอยู่มา ไม่มีอะไรทำ มันก็ต้องชำระวัดปัดกวาดไปในตัว  มันก็...เออ มันไม่ใช่ตะไคร่นี่ เสานี้ไม่ได้เกิดจากตะไคร่นะนี่ ปูน เออ ปูน นึกว่าเป็นตะไคร่ซะหลายชาติเลยว่ะนี่

ก็หลวงตาเล่นธุดงค์ทุกชาติน่ะ ไม่ธุดงค์ก็ไปเข้าบ่อน เอ้า ถ้าเป็นนักปฏิบัติก็ไปธุดงค์ ถ้าเป็นคนในโลกก็ไปเข้าบ่อนเข้าโป เล่นหวยเล่นเบอร์เสี่ยงโชคลาภ

ทุกอย่างล้วนเป็นเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานอาชีพ ...มันอยู่ด้วยความเสี่ยง มันจะไม่เรียกว่าบ่อนยังไง เดี๋ยวก็ตาดีได้ ตาร้ายถูก เอาแน่ไม่ได้นะ บ่อนนะ นั่นมันก็คิดว่าเป็นอาชีพของมัน

เอ้า พอหันเหมาจะมุ่งสู่ธรรม ก็ออกธุดงค์ซะเลย แน่ะ ทิ้งวัดซะอย่างนั้น ...ก็ไม่ไป อยู่ทำความสะอาด เอาจนมันเอี่ยมเรี่ยมเร้เรไร ขัดสีฉวีวรรณ จนปริสุทธิ กายวิสุทธิ จิตวิสุทธิ 

ธาตุกลายเป็นวิสุทธิธาตุ ใจกลายเป็นวิสุทธิจิต วิสุทธิใจ วิสุทธิธรรมน่ะ  มีหรือมันจะไม่ผ่องใสขึ้นมา วัดวาศาสนานี่ นี่ หัดสร้างพระสงฆ์ซะบ้าง หัดสร้างพระสงฆ์ที่ดี

ถ้าแต่ละดวงจิต ขันธ์แต่ละขันธ์ มีวัดสร้างวัด แล้วมีพระเป็นสงฆ์ดูแลรักษาขัดเกลา อูย โลกนี้ไม่มีคำว่าเบียดเบียนกันเลย ...แต่ไอ้นี่เล่นไปสร้างนอกวัดน่ะ มันเลยไปติดไปข้องกับวัดภายนอก

แต่ถ้าทุกคนตั้งอกตั้งใจอยู่ในวัด สร้างวัด ดูแลวัด รักษาวัด ...ทุกคนน่ะเป็นเจ้าอาวาส ทุกคนน่ะเป็นพระ ทุกดวงใจนั่นน่ะ เป็นพระที่จับโกนหัวบวชหมด ไม่บวชก็ต้องบวช

ถ้ามันไม่ไปไหนน่ะ พอมันจะยืดยาวออกมาเป็นผมเป็นขน โกนซะ ปลงมันซะ ตัดมันซะ ให้มันเหลือแค่รู้ ให้มันอยู่แค่รู้ นั่นน่ะ หัวโล้นๆ นั่นแหละสมณะ ...นั่นแหละพระ ใจเป็นพระ ใจไม่เป็นมาร

พากเพียรดูแลกายใจนี่แหละ พากเพียรที่จะรู้กายรู้ใจนี่แหละ ...อย่าเที่ยว อย่าหนี อย่าไปหาอะไร ที่นอกเหนือจากนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนนี้ เวลานี้

เพราะนั้นสตินี่ เห็นมั้ย ถ้ามีสติตรงไหนนี่ มันไม่มีเวลานะ ใจก็เกิดขึ้นตรงนั้นเลย ...ถึงเรียกว่าใจนี่เป็นอกาลิกจิต อกาลิกธรรม ไม่ขึ้นกับกาลเวลา สถานที่ บุคคล

ตรงไหนก็มี ...ถ้ามีสติ ใจก็อยู่ตรงนั้น ตรงที่รู้น่ะ ตรงที่รู้ว่าอะไร ...แล้วก็ให้อยู่ตรงใจนั้น อยู่ตรงรู้นั้น นั่น ก็เพียรลงไปด้วยศีลสติสมาธิปัญญา จนเต็มรอบอยู่ในนั้นน่ะ 

มันเป็นการชำระขัดเกลาตัวเองไปในตัว ...มันไม่มีใครมาขัดเกลาให้หรอก มันขัดเกลาในตัวของมันเอง ...ก็มันไม่รู้จะเห็นอะไร มันก็ต้องเห็นกายนี่แหละ 

ถ้ามันไม่ออกไปรู้ที่อื่น มันก็เห็นแค่ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก มันไม่ออกไปเห็นอะไรหรอก มันไม่อยากไปเห็นอะไร มันก็ไม่ไปไหน มันก็เห็นแค่ลมเกิดลมดับๆ 

นี่ ลมเข้าเกิดลมออกดับ ลมเข้าดับลมออกเกิด สลับกันไป แล้วลมเป็นสัตว์ไหม ลมเป็นบุคคลไหม ลมเป็นชายไหม ลมเป็นหญิงไหม ...นี่ เขาแสดงอยู่ทนโท่ โต้งๆ ตรงๆ 

ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมอะไร ไม่ต้องพิจารณาเป็นคำพูดความหมายอะไร ...ก็เห็นอยู่ตรงๆ ว่าลมเป็นลม ไม่ได้เป็นเราน่ะ ไม่ได้แสดงอาการหนึ่งใดเลยว่าเป็นของเรา ก็เป็นลมเข้ากับลมออก

จริงๆ ดูไปดูมา เอ้า ลมก็ไม่เข้า ลมก็ไม่ออก ไม่มีเข้า-ไม่มีออก ...ดูไปดูมา รู้ไปรู้มา ไม่เห็นเป็นลม ไม่รู้ว่านี่เป็นลม ...เป็นอะไรๆ อย่างหนึ่ง หาที่ตั้งไม่ได้ ไม่มีที่ตั้ง วูบๆ วาบๆ วืดๆๆ นั่น

เพราะมันเห็นอย่างนี้แล้วสบายดี ไม่สุขไม่ทุกข์ ...ไม่ใช่เป็นสุขขึ้นนะ สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มีอ่ะ  แต่มันสบายดี สบายใจ ใจสบาย ใจเป็นอิสระ ใจเป็นกลาง ใจไม่แกว่ง ใจมันรู้สึกพอดี

มันพอดี มันเต็ม มันรู้สึกว่าเต็ม ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่เหลือ  มันเต็มพอดีเลย จิตมันเต็ม แต่ถ้านอกจากตรงนี้ มันรู้สึกไม่เต็ม มันไม่อิ่ม มันไม่พอดี ...ดูเอา ศึกษาเอา สำเหนียกเอา

เอ้า พอ ค่ำแล้ว เดี๋ยวจะไปสาย กลับสายกลับมืด ...หูตาก็ไม่ดี ตาในก็ไม่ดี ตานอกก็ไม่ดี สองตาต่างก็ไม่ดี เบลอกันไปหมด ...แต่อย่างน้อยตานอกไม่ดี ตาในดีไว้...ดีหมด นี่


(ต่อแทร็ก 6/27)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น