วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 6/19 (2)


พระอาจารย์
6/19 (550102C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง
2 มกราคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ :  ต่อจากแทร็ก 6/19  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นเมื่อใดที่รู้มากกว่าหลง หรือรู้เกินหลง มันจะทันทุกขณะ ตัดๆๆ รู้ละ ตัดๆๆ ...เป็นปหานๆ ทุกขณะจิต ตลอดเวลา นั่นน่ะเป็นการชำระกิเลสอาสวะภายในล้วนๆ

มันจะแน่วแน่ ละลงในที่อันเดียวเลย ...ไม่สนเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว สนใจในที่อันเดียว พั้บๆๆๆๆ ทุกขณะ ไม่มีอะไรก็รู้ มีอะไรก็ละ...ไม่มีอะไรก็รู้ มีอะไรก็ละ อยู่อย่างนั้นน่ะ 

ไม่มีงานอื่นเลยนะ เป็นผู้ว่างงาน มีงานเดียว นอกนั้นว่างงาน ...คือแบบเหมือนประเภทครบหกสิบแล้วเกษียณน่ะ เกษียณมันก็เลยว่างงาน ว่างงานมันก็เหลืองานเดียว ทำงานภายใน มีงานภายในงานเดียว

แต่ตอนนี้พวกเรายังเหยียบเรือสองแคม ...สองงาน ใช่มั้ย  บางทีก็ลืมงานนี้ ไปเอางานโน้น ...เพราะนั้นตัวสัมมาอาชีโวมันก็เลย...เดี๋ยวก็อันนี้ เดี๋ยวก็อันนั้น ไม่รู้อันไหนจะสัมมาอาชีโวมากกว่ากัน

มันยังห่วงๆๆ ห่วงงานภายนอกอยู่ ...ถ้าเรียนก็ห่วงเรียนมากกว่าห่วงใจ ถ้ามีลูกผัวก็ห่วงลูกผัวมากกว่าห่วงใจ มีพ่อมีแม่ก็ห่วงพ่อห่วงแม่มากกว่าห่วงใจ ใช่มั้ย 

ตัวคนเดียว ทำงานก็ห่วงงาน ห่วงเพื่อนร่วมงานมากกว่าห่วงใจ ถ้าพวกเอ็นจีโอก็ห่วงโลกมากกว่าห่วงใจ ห่วงทรัพยากร กลัวโลกร้อน ห่วงกันจัง ...มันก็ลืมใจกันหมด นั่นแหละ มันไปห่วง หวง

เมื่อใดที่ละห่วงพวกนั้นออก เหมือนกระเบื้องห้าห่วงน่ะ ไม่เอาสักห่วง ห้าห่วงคือห้าขันธ์นี่ ไม่เอา เหลือห่วงเดียวคือห่วงใจ ...ใจยังเป็นห่วงอยู่นะ ยังมีห่วงในตัวของมัน มีห่วงสุดท้าย ห่วงนั้นน่ะสำคัญที่สุด

แต่ถ้าเราตั้งใจละเอาไอ้ห่วงห้าห่วงนั้นออกแล้ว ละเหลือลงแค่ห่วงเดียว ...ห้าห่วงนี่หลุดหมด หลุดหมดเลย ไม่ต้องคอยไล่ละทีละห่วงๆ ...ละที่ห่วงใจห่วงเดียว เอาที่ใจดวงเดียว 

นั่นล่ะเขาเรียกว่าปัญญาวิมุติ ...ไม่ต้องไปละอันนั้นก่อน ต้องตั้งท่าตั้งทางแบบนี้ก่อน ต้องพิจารณาแง่มุมนั้นก่อน ต้องให้เห็นอาการนั้นอาการนี้ก่อน ถ้าเกิดถึงสภาวะนั้นจิตรวม จิตดิ่งก่อนเข้าอัปปนาก่อน

ไม่เตรียมการใดๆ ทั้งสิ้น ตรงลงที่ใจล้วนๆ ห่วงแรกและก็ห่วงสุดท้าย นี่ ถ้าหลุดห่วงนี้ ห้าห่วงยังไงก็หลุด เพราะใจไม่รู้จะไปจับกับอะไร ใจมันเป็นบ่วงแรกห่วงแรก ถ้าละที่ห่วงแรกนี่ได้ มันไม่มีจะไปจับอะไรได้หรอก

แต่ตอนนี้เรายังเชื่อความเห็นผิดอยู่ว่า...ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ๆ ถ้าเราไม่ทำงาน เรายังไม่เรียน ถ้าไม่เราไม่ดูแลพ่อแม่ ถ้าเราไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไรพวกนี้ จะภาวนาไม่ได้ มันก็เลยแบบเหยียบเรือสองแคมอยู่

แต่อย่าทิ้งใจ อย่าลืมใจ สำคัญ ...พอเรารักษาใจไว้มากขึ้น บ่อยขึ้นปึ้บนี่ การให้ความสำคัญกับภายนอกจะน้อยลงไป แล้วทุกอย่างมันจะกลมกลืนขึ้น ...ไอ้ที่เคยอยากได้มันเกินน่ะ เกินลิมิทน่ะ มันก็จะน้อยลง

การงานต่างๆ ก็ทำได้ แต่ไม่จำเป็นจะต้องเพื่ออะไร เพื่อใคร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำให้มันเลวลงนะ ...คือทำให้พอดี มันพอ...แล้วมันสามารถพอดีกับตรงนี้

แต่ว่าตรงนี้จะเข้มขึ้นๆๆ จริงจังขึ้น รักษาใจมากกว่าห่วงคนไข้ (หัวเราะกัน) หรือว่าห่วงคนนั้นคนนี้ มันจะห่วงใจเจ้าของมากกว่า ว่าอยู่มั้ย หายไปมั้ย อยู่ดีสบายดีไหม ต่อเนื่องดีมั้ย 

หรือว่าผลุบๆ โผล่ๆ เป็นพวกนินจา ...ใจแต่ละคนนี่เหมือนนินจา พั้บ..หาย  เขามีแต่พั้บ..อยู่  นี่ พั้บ หายๆ สติมันก็แหว่งๆ วิ่นๆ ฟันก็หลอ เขี้ยวก็เว้า

รักษาใจอยู่อย่างนั้น มันก็จะทำให้เกิดความเต็มพร้อม เต็มเปี่ยม ...เหมือนน้ำเต็มบ่ออย่างนี้ พอดีเมื่อไหร่ก็น้ำเต็มบ่อ เพราะนั้นอะไรที่มันเกินจากน้ำ มันก็ล้นออกๆ

นั่นแหละ สติสมาธิปัญญาที่มันเต็มเปี่ยมแล้ว เหมือนน้ำที่มันเต็มบ่อ ...อะไรก็เข้ามาไม่ได้ เกินไม่ได้ เข้ามาแทรกซึมไม่ได้ มันก็เอาออกไปหมด

แต่ถ้าสติสมาธิปัญญาขาดตกบกพร่อง มันก็เก็บเอาไว้หมด ...กลายเป็นจะเอาให้มันเต็มในความรู้สึก เต็มในความคิด เต็มในอารมณ์ เต็มในเวทนาสุขทุกข์

ให้มันเต็มด้วยสติสมาธิปัญญานี่ จะเป็นน้ำใส ...ถ้าไม่เติมน้ำใสให้เต็มตุ่มนี่ แล้วตุ่มมันว่างเปล่าอย่างนี้ มันก็จะไปเก็บเอาน้ำครำ น้ำคร่ำ น้ำสกปรกมาเรื่อยเปื่อย เอาจนล้นน่ะ 

แต่มันล้นด้วยกิเลสอาสวะ ความอยากทะเยอทะยาน หาไปหามาไม่จบไม่สิ้น ...มันไม่ได้ล้นด้วยเต็มด้วยสติสมาธิปัญญาคือน้ำใสบริสุทธิ์ 

เพราะอะไรที่ไม่ใสไม่บริสุทธิ์ อะไรที่มันจะทำให้น้ำนี่ขุ่น น้ำนี่มัวหมองไป มันก็ไม่เอา มันก็ไม่รับๆ มันก็เห็นชัดน่ะ แค่หยดหนึ่ง เหมือนด่างทับทิมที่หยดปุ๊บลงมาในน้ำใสนี่ มันไม่เอาแล้ว รีบเอาออกซะ

เหมือนกัน ถ้าใจมันใสบริสุทธิ์ หรือว่าตั้งมั่นด้วยอำนาจของสติสมาธิปัญญาที่เต็มที่เต็มทางของมันแล้วนี่ ...มันจะชัดเจนแม้แต่ว่าอะไรนิดอะไรหน่อยจะไปเอาเข้ามาปนเปื้อนเจือปนนี่ มันไม่เอา

อะไรที่มันทำให้ใจดวงนี้มันผิดปกติไป เอียงไป มันเอียง มันตกขอบ ตกร่อง ตกคาน นี่ มันไม่เอาแล้ว มันก็รักษาความเป็นใจรู้ใส รู้เฉยๆ รู้ปกติอยู่ของมันอยู่ต่อเนื่องไป

แล้วมันจะมีความใส่ใจในที่อันเดียวมากขึ้น ตั้งใจมากขึ้น แน่วแน่มากขึ้น ไม่เอาห้าเอาสิบกับโลก กับคนรอบข้างมากขึ้น ...อย่าว่าแต่คนรอบข้างเลย แม้กระทั่งตัวมันเองน่ะ 

คือขันธ์ห้าตัวเองน่ะ มันก็ไม่ค่อยเอาห้าเอาสิบกับขันธ์ห้ามากขึ้นไปในตัวด้วยพร้อมกัน ...มันก็ฟูมฟักรักษาใจอยู่ในที่อันเดียวนั่นแหละ ชำระใจขัดใจๆ ให้ขาวรอบ 

ระวังมลทินไหนจากข้างนอกกระเด็นเข้ามาจะติดมัน มันก็ไม่เอา อันไหนที่เรามองไม่เห็นแต่ว่ามันกระเด็นออกมาจากข้างในก็เอาออก นี่ รีบเอาออกเลย

นั่น เห็นไหม ศีลสมาธิปัญญาที่มันอยู่กับความสมดุลพอดีแล้ว มันจึงจะเห็นเป็นทุกขณะไป 

แต่ว่าพอถึงจุดนั้นแล้วมันจะมีแต่ออก ไม่มีอะไรเข้ามาแล้ว มันจะรักษาใจได้ในระดับนั้นเลย ...ภายนอกเข้าไม่ถึง มีแต่ข้างในออกไป คือละออกๆๆ

แต่ของพวกเรานี่เหมือนรถวิ่งสวนทางกันน่ะ เข้าใจมั้ย มันยังแบบ...ไอ้นั่นก็เข้า ไอ้นี่ก็ออก อันไหนของกู อันไหนของมึง อันไหนกิเลสเรา อันไหนกิเลสคนอื่นวะ มันสวนกันไปสวนกันมา นี่ มันไม่ชัดเจน

เพราะนั้นอะไรๆ ก็ทะลุลงมาเก็บอยู่ภายใน เก็บ และบางทีภายในออกไป ก็เป็นเพราะกิเลสภายนอกหรือเปล่า อะไรอย่างนี้ มันไม่ชัดเจนอะไรสักอย่าง เหมือนมีตาแต่ว่าหลับๆ ลืมๆ ตื่นๆ ดับๆ อย่างนี้

จนมันชัดเจน ...พอมันชัดเจนดีแล้ว ภายนอกเข้ามาปึ้บ...รู้ ภายในออกไปนี่...ละ ...ละออกหมด ไม่เอา มันจะปรุง มันจะหา มันจะแสวง...ไม่เอา

ก็ง่ายๆ เวลานั่งสมาธิ  มีแต่ความอยากล้วนๆ มันไม่รู้เลย อย่างนี้ ต้องการสงบนี่ ก็คิดว่าเป็นการปฏิบัติ ...จริงๆ มันเป็นความอยากภายในมันบงการ อย่างนี้เรียกว่าภายในออกมา แล้วมาตกแต่งขันธ์ภายนอก 

แต่ถ้ารูปเสียงกลิ่นรสมากระทบ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียงปุ๊บ เกิดอารมณ์แล้ว อย่างนี้เรียกว่าภายนอกเข้ามากระทบ อย่างนี้ ...มันก็จะจัดเจน ชำนาญอยู่ในการงานอันนี้ 

นี่เป็นการเรียนรู้เรื่องของใจล้วนๆ เรียนรู้สิ่งที่ว่า อะไรแปดเปื้อน อะไรที่เป็นปฏิกิริยา action - reaction อย่างไร ...จนมันหมดสิ้นปฏิกิริยาน่ะ 

เหมือนใจนี่กลายเป็นของตายไปเลย คือมันจะไม่มีอาการตอบสนองใดๆ จากข้างใน ไม่ว่าข้างในจะยังไง ไม่มีอะไรข้างนอกมากระทบ ข้างในก็ไม่หือไม่อือน่ะ

นั่นแหละถึงเรียกว่าหมดจด อย่างที่เราบอกว่าเหมือนกับจักรวาลที่มันไม่มีอะไรเลย ...นั่นแหละ เข้าใจคำว่าหมดจดขนาดนั้นมั้ย อย่าว่าแต่ละอองของปรมาณูจิตเลย ไม่มีอ่ะ

มันสว่าง เห็นชัดเลยว่าอะไรแปดเปื้อน ปนมานี่ ทิ้งเลย มันขนาดนั้นน่ะ ญาณทัสสนะที่แจ่มใส ญาณวิมุติทัสสนะที่แจ่มแจ้งน่ะ ไม่มีอะไรหลงเหลือเลย หมดสิ้น 

เขาเรียกว่าดับไปสิ้นไป เรียกว่านิโรธ ความหมดสิ้น ดับไม่เหลือ ดับแบบไม่เหลือ ...ด้วยญาณทัสสนะมันเห็น ไม่เหลือแล้ว

ใครจะมาบอกว่าไม่ใช่ ไม่ฟังแล้ว ...เหมือนคนดื้อนะ แต่มันดื้อในธรรม เข้าใจมั้ย ...ดื้อโดยตาเห็นธรรม มันเห็นเองรู้เอง แล้วมันเห็นด้วยญาณทัสสนะมันแจ่มแจ้ง

ใครจะบอกว่าไม่สำเร็จหรอก ไม่ใช่หรอก ...มันไม่เชื่อหรอก มันดูแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่เหลืออะไรเลย นั่น ไม่มีแง่มีมุมไหนเหลือเป็นละออง เป็นมลทินใดๆ

แต่ของพวกเรานี่ อย่าเผลอเชียวนะ อย่าปล่อยนะ พั้บๆ แผดเผาออกมาเลย มันจะร้อนขึ้นมา โดยหาสาเหตุมิได้ นั่งอยู่ดีๆ ไม่มีอารมณ์ไม่มีความคิดคำนึง อยู่ดีๆ มันก็ร้อนอกร้อนใจขึ้นมา ไม่มีเหตุไม่มีผล

เห็นมั้ย หงุดหงิดรำคาญโดยไม่มีเหตุไม่มีผลเลย  มันมาจากไหนยังไงล่ะ ...แปลว่ามันยังมี...ยังมีอะไรข้างในอีกเยอะเลยที่เรายังไม่เห็น

ทำไมถึงไม่เห็น ...ก็มันไม่มีญาณทัสสนะที่แจ่มชัด ...มันก็เลยว่ามันมายังไงวะนี่ มันมาจากตรงไหน

แต่ถ้ามีญาณทัสสนะที่แจ่มชัดแล้วมันรู้เลยว่ามันอะไร มันมาจากตรงไหน พั้บๆๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ แจ่มชัดเลย และไม่สงสัย ในการเกิด ในการตั้ง และในการดับ

แต่ถ้าไม่มีญาณทัสสนะ ต้องอาศัยขันติธรรม อดทนกับมัน เฉยๆ ไว้ อะไรก็ได้ ชั่งหัวมัน รู้ไว้อย่างเดียว ...อดทนรู้ๆ หน้าด้านรู้ไป จนกว่ามันจะดับ

เมื่อมันดับ...ด้วยการที่เราจิตตั้งมั่นอยู่ รู้อยู่เห็นอยู่ด้วยอาการปกติ  รักษาการเป็นปกติรู้อยู่ไว้  มันก็จะไปเพิ่มพูนญาณทัสสนะ ให้เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้น 

ก็ชัดเจนขึ้นในอาการเกิด อาการตั้ง อาการดับของมัน จนหายสงสัย ...ไม่งั้นเราก็จะคาอยู่ว่า เอ๊ะ ยังไง จะทำยังไง มันมายังไง มันดีมันร้าย อันไหนควรละ อันไหนไม่ควรละ

ละอย่างเดียว ไม่ต้องสงสัย...ละอย่างเดียว ไม่ต้องสงสัย ...อย่าไปบอกว่าต้องมีวิธีอะไร หรือว่าต้องทำอะไร ต้องรักษาวิธีนี้ไว้ก่อน ต้องรักษาการกระทำอันนี้ไว้ก่อน 

หรือว่าต้องมีการกำหนดอย่างนี้ไว้ ให้มีการดึง การหน่วง การรั้งอารมณ์หรืออะไรไว้ก่อน นี้เพื่อให้เห็นธรรมสูงขึ้น ...เหล่านี้ บอกไว้เลยว่า...ละอย่างเดียว

ความรู้สึกอะไรก็ตามที่มันจะมาเต้า มาบอกว่าต้องมี ต้องทำอะไรนี่ ละเลย รีบละเลย ...ไม่งั้นน่ะ เดี๋ยวจะได้ไปเห็นดอกบัวข้างในบานๆๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยแหละ 

เพราะ ไอ้ที่เก็บๆ กันเอาไว้น่ะ ที่เก็บเอาไว้ดูเอาไว้แล เอาไว้เป็นผลประโยชน์ต่อไปภายภาคหน้านี่  เหล่านีี้คือมันเป็นของมลพิษทั้งนั้น

เพราะนั้น ศีลสมาธิปัญญานี่ หรือว่าญาณทัสสนะนี่ มันเป็นการดีท็อกซ์ (Detox) ...เอาออก ละออกซะ อย่าเห็นดีเห็นงามกับมัน อย่าเห็นดีเห็นงามกับขันธ์


(ต่อแทร็ก 6/19  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น