วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 6/19 (1)


พระอาจารย์
6/19 (550102C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง
2 มกราคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ :  แทร็กนี้ยาวมาก แบ่งโพสต์เป็น  4  ช่วงบทความค่ะ)

พระอาจารย์ –  เริ่มจากสติตัวเดียวนี่แหละ ไม่ต้องไปคิดมากเลย ...อะไรก็รู้ ๆ ไม่มีอะไรก็รู้ ไม่รู้อะไรก็รู้ รู้อย่างเดียว รู้ไป แล้วก็อยู่กับรู้

เอารู้เป็นเพื่อน เอารู้เป็นที่พึ่ง เอารู้เป็นที่ตั้ง รู้ไว้  เดี๋ยวมันก็ไปของมัน...ตามครรลองของมันเอง ไม่ต้องรีบไม่ต้องร้อน ...สำคัญว่ามันอย่าทิ้งรู้ อย่าทิ้งการระลึกรู้ อย่าทิ้ง 

มันจะประมาทเผลอเพลินน่ะ มันก็เลยทิ้งรู้ไป มัวแต่ไปเพลินกับงาน เพลินกับคนนั้นคนนี้ เพลินกับอดีตอนาคตอย่างนี้ ...มันก็เลยละทิ้งสิ่งที่มันมีสาระที่สุดคือใจ ไปอยู่กับสิ่งที่ไม่มีสาระที่สุดเป็นหลัก 

โลกนี่มันเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระที่สุดเลย ...เพราะมันเอาแน่เอานอนอะไรกับมันไม่ได้หรอก  การบ้านการเมืองอะไร ความคิด ความนึก ความเห็นของสัตว์มนุษย์นี่ เข้าใจไหม มันไม่มีสาระ 

อย่าไปโกรธ ขึ้ง เคียด กังวล ดีใจ เสียใจ ตื่นเต้น ตามกิเลสมนุษย์ ... มันไม่มีความแน่นอน 

โลกนี่...เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย  เดี๋ยวก็น้ำท่วม เดี๋ยวก็ฝนแล้ง เดี๋ยวก็หนาว เดี๋ยวก็ร้อน ...จะไปเอาแน่เอานอนอะไรกับมัน มันไม่มีสาระสุดๆ เลยน่ะ

ทำไมจะต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ ไปครุ่นคิดกังวลหาเหตุหาผลอะไรกับมัน อย่างนี้ ...ให้เห็นว่ามันไม่มีสาระ แล้วก็อย่าไปอยู่กับสิ่งที่มันไม่มีสาระ 

จากนั้นไปก็...พอไม่เอาสาระกับโลก แล้วก็ไม่เอาสาระอะไรกับขันธ์อีก ...ก็ค่อยมาเรียนรู้ มันมีสาระอะไร..ยืน เดิน นั่ง นอน เดี๋ยวก็นั่ง เดี๋ยวก็ลุก อย่างนี้

ไอ้ตอนนั่งก็ดับแล้วเกิดมาเป็นเดิน เดินไปเดินมาก็เห็นมันดับตามหลังไปพั้บๆๆ อยู่ เป็นขณะๆ ไป มันก็ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร เกิดๆ ดับๆ เหมือนกัน ...นี่ มันก็มาเรียนรู้เรื่องของขันธ์ 

อารมณ์เหมือนกัน ความสุขความทุกข์ เดี๋ยวก็เกิดเดี๋ยวก็ดับ...เดี๋ยวก็เกิดเดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็มากเดี๋ยวก็น้อย เดี๋ยวก็ขึ้น-เดี๋ยวก็ลง เดี๋ยวก็เปลี่ยน อย่างนี้ ...ให้เห็น มันไม่มีสาระ อย่าไปจริงจัง 

มันก็ถอยออก อยู่ที่ที่ควรอยู่...อยู่ที่ที่มันมีสาระ ก็คือใจ 

นั่นแหละพยายามสอนไว้ เตือนตัวเองไว้เสมอ ...สติน่ะเป็นตัวเตือน สมาธิเป็นตัวที่ผูกไว้ ตั้งไว้ อยู่ภายในนี้ ...ของจริงอยู่ตรงนี้ นอกนั้นไม่จริง อย่าไปเชื่อมัน 

อย่าไปเอาของไม่จริงมาสวมมาใส่ มาพอกมาพูน มาปิดมาบังตัวเอง คือตัวที่แท้จริงคือใจ ...ถ้าออกไปแล้วไปจริงจังมันก็เหมือนกับไปเก็บขยะมาสุมหัว มันก็เหม็นเน่าอยู่อย่างนั้นน่ะ  

แล้วมันไม่ได้แค่เหม็นเน่าอย่างเดียวนะ ...แต่มันมองไม่เห็นเลยว่าตัวตนที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ตัวตนที่แท้จริง ต้นเหตุของตัวตนทั้งหมดนี่ อยู่ตรงไหน 

ก็พยายามสางออกไปๆ ละออกไป คลายออกไป วางออกไป  แล้วก็ตั้งมั่นอยู่ในที่อันเดียว...ภายในนี้แหละ แค่นั้นเอง ไม่เห็นมันยากเลย  ...ไม่กี่ปีเอง เดี๋ยวก็ไม่ต้องมาเกิดแล้ว
(เสียงโยมหัวเราะและกล่าวโมทนาสาธุ) 

มันทำไม่จริงกัน ...มันดั๊นไปจริงกับไอ้เรื่องที่มันไม่ควรจริงน่ะ  เถียงกันเอาเป็นเอาตายเลย หรือว่าพูดแสดงความเห็น...มันก็ออกความเห็นกันแบบเอาเป็นเอาตาย To die for กันเลย  

มันไม่มีสาระอ่ะ จะพยายามทำให้มันเป็นสาระ ต้องเป็นสาระให้ได้ ไม่มีเรื่องก็ต้องให้มันเป็นเรื่องให้ได้ มันเป็นโรคอะไรกันก็ไม่รู้มนุษย์นี่ จริงจังในไอ้เรื่องขี้เรื่องตดนี่มากเหลือเกิน

ตายมาหลายชาติเพื่อความดีก็ได้ ตายมาหลายชาติเพื่อธำรงความเชื่อ อะไรอย่างนี้เยอะแยะไปหมด แล้วแต่มันจะตั้งบ้าบออะไรของมันขึ้นมาน่ะ ...มันไร้สาระอ่ะ ไปเห็นคุณค่าพวกนี้มาก จนลืมกายลืมจิต 

เบื้องต้นลืมกายก่อน ลืมตัวเอง แล้วก็ลืมใจ...นั่นน่ะแก่น แก่นที่แท้จริง ...ไอ้ขันธ์ ๕ นี่มันไม่มีแก่นสารหรอก โลกนี่มันไม่มีแก่นสารหรอก ...แต่ดันไปจริงจัง 

ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ไปหาแก่นเอานู่น ในจักรวาล หาเทคโนโลยี หาอะไรกันไป มันจะรู้ไปทำบ้าบออะไร ทำให้เป็นดอกเตอร์ ...มันเป็นศักดิ์ศรี ตายเพื่อศักดิ์ศรี ตายเพื่อความรู้ยิ่ง มันจะรู้ไปทำไม มันไม่มีสาระ


โยม –  แต่มันได้เงินนะ รู้เยอะเป็นดอกเตอร์ได้เงินมาเยอะขึ้น บำรุงขันธ์

พระอาจารย์ –  ทำไป เดี๋ยวก็ตายแล้ว ตายแล้วนี่ ดอกเตอร์ก็ตาย ขันธ์ก็ตาย ไม่เหลือ ...มันเป็นแค่อะไรลวงๆ ล่อๆ กันอยู่ตรงนี้เอง แป๊บเดียวเองๆ อย่าคิดว่านาน ชีวิตน่ะ ขันธ์น่ะ

เอ้า ลองนึกดูสิ อายุกันเท่าไหร่ สามสิบ-สี่สิบ-ห้าสิบ ...ลองนึกดูว่าตั้งแต่เกิดมาถึงตรงนี้ แป๊บเดียวเอง แป๊บเดียวเหมือนเมื่อวานนี้เองนะ ยังถือกระเป๋านักเรียนเดินด๊อกแด๊กๆ อยู่ ..เอ๊ะ นี่มาอยู่ตรงนี้แล้ว 

แล้วอย่าคิดว่าข้างหน้าจะนานนะ แป๊บเดียวเองเหมือนกันนะ แปดสิบเก้าสิบอยู่ในโลงแล้ว ...อ้าว แป๊บเดียวเหมือนกันน่ะ

ชีวิตนี่มันแป๊บเดียว ไม่ได้มากอย่างที่จิตนี่มันปรุงแต่งถือไว้ว่าอีกนานนะ  ...ไอ้นานของมันน่ะมันก็คิดของมัน ให้ค่าว่า “นาน” ...แต่จริงๆ แป๊บเดียวเอง

ไม่ต้องไปจริงจังอะไรหรอก พอเหอะ เลี้ยงตัวรอดพอแล้ว ชื่อเสียงก็พอให้สังคมโลกเขาไม่ต้องตราหน้าว่าเป็นไอ้ชั่วก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาแบบ เป็นซุปเปอร์ฮีโร่หรืออะไร  

แค่นั้น...ไม่ต้องเอาอะไรหรอก ...เพราะสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในโลกหรอก

แต่ถ้ารักษาใจตัวเองไว้นี่ เห็นมั้ย มีแต่คนเขาสรรเสริญ ...พระพุทธเจ้าตายไปสองพันห้าร้อยปี ยังจำกันได้ แต่ขนาดยังจำกันได้นี่ เดี๋ยวพอห้าพันปีก็จำไม่ได้แล้วนะ ...แต่นานกว่าคนอื่นนะ ใช่มั้ย

หรือดูหลวงตาบัวนี่ มีคนไปหาของท่าน ขี้ยังเอามาเลย เป็นพระธาตุน่ะ ขี้หลวงปู่มั่นก็ยังไปขุดกัน ...แต่ของพวกเรานี่ ตายแล้วรีบๆ ไปเลย รีบๆ ไปเผาเลย ไม่มีค่าอะไร

แต่ถ้าคนที่มีใจแล้วรักษาใจได้ดีแล้ว ชำระใจได้บริสุทธิ์แล้ว นี่ มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง มีค่ายิ่งกว่าคนที่มีความรู้มหาศาลตายไปก็ได้จารึกอนุสาวรีย์ ...ก็แค่นั้นน่ะ แต่คุณค่าต่างกันเยอะเลยนะ 

เพราะนั้นต่างคนต่างรักษาใจตัวเองไว้ จนถึงที่สุดของใจ นั่นแหละ ควรแก่การสรรเสริญ เรียกว่าเป็นจิตที่ฝึกดีแล้ว เมื่อใดที่เป็นผู้ที่ฝึกจิตดีแล้ว เป็นผู้ที่มีจิตที่ฝึกดีแล้ว อยู่กับจิตที่ฝึกดีแล้ว 

นั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นบัณฑิต เป็นบัณฑิตที่แท้จริง ...ไม่ใช่ด๊อกเตอร์ ไม่ใช่ศาสตราจารย์นี่เป็นบัณฑิต  ก็ไปเอาชื่อเขามาใส่อย่างนั้นเองว่าบัณฑิต

แต่บัณฑิตในความหมายของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ฝึกจิตดีแล้ว สมควร สมควรแก่การเกิดมาประดับอยู่ในโลกนี้ ...เหมือนเป็นดอกไม้งามท่ามกลางขี้ควาย ปักอยู่เสียบอยู่ เออ เป็นดอกไม้กลางขี้ควาย

หรือว่าถ้าพูดอย่างนี้น่าเกลียด ก็ เออ เหมือนดอกบัวผุดขึ้นจากตม ...เออ ค่อยดูดีหน่อย เปลี่ยนคำใหม่ ...เห็นมั้ย ภาษาสมมุติก็ว่ากันไปได้ นีี่ ท่านก็เลยเปรียบเหมือนกับดอกบัวผุดขึ้นท่ามกลางโคลนตม 

แต่ภาษาเราก็บอกว่า เหมือนดอกไม้ที่ปักบนกองขี้ควาย ประมาณนั้นน่ะ มันควรค่า ...เพราะอะไร ...โลกนี้ก็ขี้ควาย โลกนี้ก็คือโคลนตม เหมือนกันน่ะ 

แต่กว่าจะมีดอกบัวดอกนึงผุดโผล่ขึ้นมา อือ ไม่ใช่ของง่ายนะ ...ต้องผ่านการเคี่ยวกรำ ตรากตรำ อบรม ขืนตัวเอง ฝืนตัวเอง ฝืนความอยาก ฝืนความไม่อยาก ฝืนความคิด ฝืนความเห็น 

จนไม่คิด จนไม่เห็น จนไม่มี จนไม่เอา จนไม่เป็นอะไร อยู่ที่ใจดวงเดียวแท้ๆ เลย ...นี่ พากเพียรมาก ตั้งใจมาก ละ..จนไม่มีอะไรให้ละ ปล่อยจนไม่มีอะไรให้ปล่อย วางจนไม่มีอะไรให้วางน่ะ 

คิดดูแล้วกัน มันจะขนาดไหนล่ะ ...ถ้าไม่ขนาดที่เรียกว่าทุกขณะจิต มันวางไม่หมดหรอก บอกให้เลย ...ถ้าไม่ถึงขั้นวางทุกขณะจิตนะ ไม่มีทางวางได้หมด 

เพราะเราเก็บกันไว้นี่ ขยะนี่ นับไม่ถ้วน ในใจดวงนี้ อาสวะนี่ ...ไอ้ที่เห็นยังเยอะขนาดนี้ แล้วไอ้ที่ไม่เห็นอีกยิ่งบานเลย ข้างในน่ะ 

เพราะนั้นถ้าไม่ละถ้าไม่วาง...ถึงขั้นที่เรียกว่าทุกขณะจิต หรือมหาสติ มหาปัญญานี่ ...ไม่หมด ช่วงชีวิตนึงนี่ ไม่หมด ของการฝึกนี่

เพราะนั้นบางท่านบางองค์ถึงต้องข้ามภพข้ามชาติมา เพราะท่านสร้างไว้เยอะ ติดไว้เยอะ ...มันก็ต้องผ่านการกลั่นกรอง ละ ถอนๆๆ 

ถอนไปๆ ...กำลังจะหมด ใกล้ๆ จะหมดอยู่รอมร่อแล้วดันหมดวิบากอายุ ตายซะก่อน ...ก็กลายโสดาบ้าง สกิทาคาบ้าง อนาคาบ้าง เพื่อมาถอดถอนต่อในภพชาติต่อไป 

ซึ่งท่านก็ไม่กังวลอะไร เพราะท่านรู้ตัวเองว่านี่เพราะสิ่งที่เราเก็บไว้มันมากมาย

นี่ ที่พูดเพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจกันไว้ว่า ...อย่าได้ไปขยันเก็บ  แค่ไอ้ที่เก็บกันสุมไว้เท่าไหร่ก็ยังไม่เอาออก แล้วยังหาเรื่องมาเก็บใหม่เข้าไปสุมอีก เข้าใจมั้ย 

ไอ้นั่นไอ้นี่ก็เก็บไปหมด ...ตาเห็นก็เก็บ เป็นรูป  เสียงได้ยินมา ก็เก็บในรูปแบบของเสียง เสียงดีเสียงร้าย เสียงเขาด่าเขาชม เนี่ย เก็บหมด เก็บหมดนะ

แล้วถึงไม่มีรูปไม่มีเสียงกระทบเป็นผัสสะภายนอกนะ...ก็เก็บมันในความคิด ...คิดแล้วคิดอีกๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดไม่หยุดไม่หย่อน คิดหน้าคิดหลัง 

คิดตัวเราข้างหน้าข้างหลัง คิดถึงตัวคนอื่นข้างหน้า คิดถึงตัวคนอื่นข้างหลัง คิดแทนพ่อคิดแทนแม่ คิดแทนเพื่อน คิดแทนผัว คิดแทนเมีย ...อู้ยย มันจะคิดอะไรกันนักกันหนา 

เก็บหมดเลยนั่นน่ะ ...มันเก็บขี้เก็บตดอยู่ตลอด บ้ารึเปล่า จิตมันบ้าอย่างนั้นไม่ได้มรรคได้ผลนะนั่นน่ะ มันคิดว่าคิดแล้วได้มรรคได้ผลรึไง พระพุทธเจ้าถึงบอกมันไม่ได้มรรคได้ผล

ถ้าอยากได้ผลได้ผลคือต้องไม่คิด ละความคิด ละความปรุงแต่งทั้งปวงออกไปให้หมด  get out and get rid ...ออกไปๆ ไล่มันออกไป คิดดีก็ไม่เอา คิดชั่วก็ไม่เอา

อย่าว่าแต่ละไอ้ที่คิดชั่วเลย คิดดีกูยังไม่คิดเลย คิดถูกก็ไม่คิด คิดผิดก็ไม่คิด ...ไม่คิด ไม่ต่อเติม ไม่แต่งเติม รู้อย่างเดียวๆๆ ...นี่มันต้องได้ขนาดนั้น จึงจะได้สมน้ำสมเนื้อกันกับอนุสัยอาสวะ

ไม่มีใครมากไม่มีใครน้อยกว่ากันหรอก บอกให้เลย พอถึงจุดนั้นน่ะ เท่ากันหมด มันเป็นกำลังที่สมดุลกันพอดี ...เกิดตรงไหนดับตรงนั้นๆ มันพอดีกันตรงนั้น 

ต้องให้ได้พอดีกันตรงนั้น เกิดตรงไหนดับตรงนั้นๆ ...จะหยิบจะจับๆๆ นั่นแหละ มันต้องทันกันขนาดนั้น มันถึงจะพอเพียงกัน กำลังน่ะ

ไอ้นี่เก็บมาสักห้าวิ..แล้วนี่ ค่อยทัน นะ มันก็ละได้จากที่เกินห้าวิไป...แต่ไอ้ห้าวินี่เก็บไว้แล้วนะ  ถ้าเป็นชั่วโมงนี่ก็เก็บเอาไว้อีกชั่วโมงแล้ว แล้วที่หลงเพลินไป ไอ้จากเกินชั่วโมงไปนี่อีกล่ะ 

อย่างนี้ ดูซิว่ามันเก็บหรือมันละมากกว่ากัน ใช่มั้ย ผลก็อยู่ตรงนี้ ...ทำไมถึงบอกว่าภาวนาแล้วไม่รู้สึกว่าดีขึ้นเลย เหมือนไม่ค่อยบางเบาเลย ...ก็มึงเก็บมากกว่าละน่ะ หลงมากกว่ารู้น่ะ เอางั้นเถอะ 

ถ้าไม่เข้าใจว่าละยังไง ละไม่เป็น...ก็หลงมากกว่ารู้  ...เมื่อใดที่รู้มากกว่าหลง เออ เมื่อใดมีแต่รู้ไม่มีหลง นี่ ...เออ ค่อยว่ากัน


(ต่อแทร็ก 6/19  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น